ความแนบแน่นระหว่าง “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรค เป็น “มิตรภาพอันลึกซึ้ง” ที่คนวงนอกไม่รู้ เขาจึงจับตาดูเพียง “ความเคลื่อนไหวทางการเมือง” ที่ระยะหลังดูจะ “ไปคนละทาง” จนนำมาสู่กระแสข่าวว่า “ลุงกำนัน” หรือนายสุเทพนั้น จะตั้งพรรค กปปส.
นายอภิสิทธิ์แสดงความเป็น “สุภาพบุรุษทางการเมือง” และ “นักประชาธิปไตย” ด้วยการให้ความเห็นกับสื่อทุกสำนักที่มาถามด้วยคำว่า “ก็เป็นสิทธิของคุณสุเทพ”
ไม่มีคำเหน็บแนม ไม่มีอาการหงิดหงิด ขัดใจ ไม่มีท่าทีใดๆ ที่บ่งบอกว่า นายอภิสิทธิ์ไม่พอใจ
นายอภิสิทธิ์เป็นคน “มีหลักการ” และ “ยึดหลักการ”
นายสุเทพเป็นคน “ดูสถานการณ์” และ “ยึดสถานการณ์”
ในช่วงที่พรรคพลังประชาชนถูกคำสั่ง “ยุบพรรค” เพราะมีกรณีทุจริตการเลือกตั้งโดย นายยงยุทธ ติยะไพรัช นายสุเทพประเมินสถานการณ์แล้ว ว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่จะ “ผลักดัน” ให้นายอภิสิทธิ์ ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรค ได้มีโอกาสเป็น “นายกรัฐมนตรี”
การ “ประสานสิบทิศ” จึงเกิดขึ้น โดยเฉพาะประสานกับกลุ่มของ นายเนวิน ชิดชอบ ที่แตกออกมาจากพรรคพลังประชาชน มาเป็นพรรคภูมิใจไทย และกลุ่มอื่นๆ เท่าที่จะเป็นไปได้ในทาง “อุดมการณ์ทางการเมือง เพราะโจทย์ในตอนนั้นคือ ใครรวมเสียงได้ โหวตชนะในสภา ก็ขึ้นมาเป็นแกนหลักจัดตั้งรัฐบาล อันเป็นกระบวนการปกติของระบอบประชาธิปไตยของไทย
นายสุเทพไม่ได้ทำเกินหลักการ และทำไปตามสถานการณ์ที่เหมาะเจาะ เวลานั้น ทั้งนายสุเทพและนายอภิสิทธิ์จึงเป็น “ทีมเดียวกัน”
ดูไปที่ใจของนายสุเทพ จะพบความ “กว้างใหญ่” คือ ใจกว้าง ใจใหญ่ ทั้งๆ ที่นายเนวินกับกลุ่ม 16 มิใช่หรือ ที่เล่นงานนายสุเทพอย่าง “สุดขีด” จากรณี “ที่ดิน ส.ป.ก.” ถึงกับมีกรณี “ปล่อยกระจง” เผด็จศึกนายสุเทพ จนเป็น “คราบบาป” ติดตัวนายสุเทพเรื่อยมา แม้ว่าสุดท้ายกระบวนการตรวจสอบจะชี้ชัดแล้วว่า นายสุเทพ “ไม่ผิด” แต่คนก็มิได้รับข้อมูลใหม่ที่ถูกต้องนี้ เข้าไป “ลบล้างความเข้าใจ” ของตัวเองกันครบทุกคน
เพื่อให้นายอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกฯ เพื่อให้พรรคได้มีโอกาสแสดงฝีมือการบริหารประเทศ และเพื่อให้ประเทศได้หลุดพ้นจาก “ระบอบทักษิณ” บ้าง นายสุเทพยอมเจรจากับนายเนวินและคนอื่นๆ ได้ นี่ไม่เรียกว่าความใจกว้าง ใจใหญ่ ไม่ผูกใจเจ็บ งดเว้นตัวเองจากความเจ็บใจแล้ว จะเรียกว่าอะไร
ในที่สุด สภาก็โหวตเลือกนายอภิสิทธิ์ เป็นนายกฯ ไม่เลือก พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ซึ่งมาจากพรรคที่เล็กกว่ามาก โดยที่พรรคเพื่อไทยไม่ส่งคนของตนเองร่วมชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี แต่เลือกที่จะหนุน พล.ต.อ.ประชาแทนแล้ว ถือว่า นายอภิสิทธิ์ขึ้นมาตามกระบวนการประชาธิปไตยทุกอย่าง
ทั้งนายอภิสิทธิ์ นายกฯ และนายสุเทพ รองนายกฯ คู่ใจ ล้วนทำงานเคียงข้างกันไปโดยไม่เคยมีความขัดแย้ง และแล้วอุปสรรคใหญ่หลวงก็เกิด เกิดเมื่อพรรคเพื่อไทย และแนวร่วม นปช. ใช้วิธีปลุกปั่นประชาชน-มวลชน ของตน ให้เข้าใจผิดและจงเกลียดจงชังนายอภิสิทธิ์และคณะรัฐมนตรี ด้วยวาทกรรมว่า “ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร” จนเกิดมวลชนมาทำลายการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่พัทยา เพื่อ “หักหน้า” รัฐบาลในขณะนั้น หมายให้นายอภิสิทธิ์ ซึ่งเป็นผู้ยึดหลักการประชาธิปไตยยิ่งชีวิต ยุบสภา-ลาออก
มีข่าวว่า นายอภิสิทธิ์ก็เกือบทำเช่นนั้น เพื่อ “แสดงความรับผิดชอบ” (นี่คือสปิริตของเขา) แต่ก็กระบวนการทบทวนเพื่อให้ “มองอีกด้าน” ว่าทำไมประเทศชาติต้องพ่ายแพ้ให้กับการกดดันด้วยหลักที่ผิดและวิธีที่ผิดเช่นนั้นด้วย
หลักการที่ผิดก็คือ การโกหกหลอกลวงประชาชนด้วยวาทกรรม “ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร” ซึ่งทำไม่ได้ เพราะท้ายที่สุดก็ต้องมา “โหวตกันในสภา” ซึ่งหากจะเล่นกันแฟร์ๆ พรรคเพื่อไทยต้องส่งคนของตัวเองมาแข่งขันด้วยสิ นี่นอกจากจะไม่ส่งแล้ว ยังบิดเบือน สร้างความเกลียดชังขึ้นในหมู่ประชาชน แล้วชาติบ้านเมืองต้องยอมแพ้ต่อเกมการเมืองสกปรกเช่นนั้นด้วยหรือ
นายอภิสิทธิ์ยืนหยัดเป็นนายกฯ ต่อ โดยมีนายสุเทพเป็นรองนายกฯดูแลสถานการณ์ได้สงบ ผลักดันคณะรัฐมนตรีของตนแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและการว่างงานจนเห็นผล จู่ๆ ก็เกิดม็อบ “คนเสื้อแดง” ขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มาใหม่ มาพร้อม “แก้วสามประการ” ที่นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ปราศรัยบนเวทีด้วยความปลาบปลื้มใจ คือ มีพรรค มีมวลชน และมีกองกำลังติดอาวุธ
กรุงเทพฯ ถูกจับเป็นตัวประกัน เรียกร้องให้รัฐบาล “คืนอำนาจให้แก่ประชาชน” รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ ปฏิบัติต่อการชุมนุมด้วยหลัก “นิติรัฐ” คือ ทำตามขั้นตอนของกฎหมายทุกประการ ตั้งแต่ถามไปยังศาลรอบแล้วรอบเล่า ว่ารัฐบาลจัดการกับการชุมนุมที่มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้ได้ไหม ศาลก็บอกว่าเป็นอำนาจของท่าน และบอกด้วยว่าการชุมนุมของ นปช. นั้น “ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ” เพราะมีการก่อเหตุรุนแรงและมีอาวุธ
ในยามนั้น นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และฝ่ายความมั่นคง คือ กองทัพ (ซึ่งก็คือบุคคลหลักในคณะ คสช. ในตอนนี้แหละ)เดินหน้าเจรจาและสลายการชุมนุมอย่างระมัดระวัง เพราะเห็นแล้วว่า การชุมนุมในปี 2552 มีความพยายามจะหา “คนตาย” มาเป็นเหตุล้มรัฐบาลให้ได้ ถึงกับจะใช้ศพ รปภ. คนหนึ่ง ที่เจอในแม่น้ำเจ้าพระยามาหาเหตุ แต่ก็ไม่สำเร็จ
การชุมนุมในปี 2553 จึงเต็มไปด้วยความรุนแรงและชัดเจนว่า มีกองกำลังชุดดำติดอาวุธ คอยคุ้มครองการชุมนุมและ “ฆ่าเจ้าหน้าที่ของรัฐ” คือ ทหารมือเปล่าที่เขาขอคืนพื้นที่บริเวณถนนราชดำเนินและแยกผ่านฟ้า จนนำมาซึ่งการตายของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ที่แยกคอกวัว แต่สามานย์ที่สุด เมื่อความตายของเขา ถูกแกนนำ นปช. นับรวมไปในจำนวนศพที่เขากล่าวหาว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์-สุเทพ สั่งฆ่า!!
วาทกรรมที่เป็นเท็จ คือคำว่า “สั่งฆ่า/ฆาตกรมือเปื้อนเลือด” นี้เอง ที่นำนายอริสมันต์กับนายจตุพร พรหมพันธุ์ “เข้าคุก” เพราะเป็นความเท็จ!! สู้กันสามศาล สุดท้ายนายอภิสิทธิ์ชนะ!!
และเป็นนายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพ ที่ไม่ยอมให้พรรคเพื่อไทย ในยุค น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ใช้อำนาจ “เผด็จการรัฐสภา” เอาเสียงส่วนมากลากพ.ร.บ.นิรโทษกรรม จนผ่านตอนตีสี่ ทั้งๆ ที่ กระบวนการ “นิรโทษกรรม” ในกฎหมายนั้น เขาทั้งสองคนได้ประโยชน์ไปเต็มๆ มันเป็นกฎหมายที่ปล่อยให้ทหาร สื่อมวลชน ประชาชน ตายฟรี!! สองคนนี้จะยอมได้อย่างไร ทั้งสองสู้ในสภาจนถึงที่สุด นายสุเทพ ผู้ “ยึดสถานการณ์” เห็นท่าว่า กลไกในสภา “ปกป้องความเป็นธรรมให้แก่ประชาชน (เสื้อแดง) ที่ตายไปไม่ได้” คนเหล่านั้นถูกหลอกมาชุมนุมแล้วยังต้องตายฟรี ตายโดยไม่มีการพิสูจน์ว่าใครฆ่าและให้ความเป็นธรรมตามกฎหมาย เขาจะยอมให้ “ความอำมหิต” ของพรรคเพื่อไทยและแกนนำ นปช. ที่ได้ดีมาเป็น สส. “งดออกเสียง” คือไม่สู้แทนมวลชนที่ตายไปเหล่านั้น ได้อย่างไร
นายสุเทพยอมลาออก มาระดมผู้คนที่ไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ออกมาต่อสู้กับรัฐบาลที่ “ลุแก่อำนาจ” ในขณะนั้น ผ่าน “มวลมหาประชาชน” กปปส. ส่วนนายอภิสิทธิ์นำเสียงของ สส. ประชาธิปัตย์ สู้กับความไม่เป็นธรรมในเรื่องอื่นๆ ผ่านกลไกสภาผู้แทนราษฎรต่อไป เพราะอีกฝ่ายยังใช้กลไกนี้หาประโยชน์ทางการเมืองและครอบงำประชาชนต่อ และมาขึ้นเวทีปราศรัยในช่วงแรกเป็นระยะๆ จนมีคนตั้งท่าจะใช้กฎหมายและการเคลื่อนไหวของนายอภิสิทธิ์กับ สส.ประชาธิปัตย์ที่ไม่ได้ลาออก แต่มาร่วมกิจกรรม มาขึ้นเวที กปปส. เป็นเครื่องมือในการ “ยุบพรรค” เขาจึงถอยออกไป “รักษาพรรค” และรักษาแนวทางการต่อสู้ในสภาเอาไว้ ขณะที่นายสุเทพกับแกนนำ กปปส. (ซึ่งก็ลาออกจากการเป็น สส.) นำหน้าประชาชนต่อสู้ต่อ ไม่ยอมถอยหลังให้ความไม่ถูกต้อง
กล่าวมาทั้งหมดยาวเหยียดเช่นนี้ เพื่อจะบอกว่า ใครก็ตามที่พยายามจะจับ “นายอภิสิทธิ์” ให้ “จิกตี” กับนายสุเทพ ราวกับเป็น “ไก่ชน” นั้น คงยาก เพราะนอกจากจะไม่ใช่ “นิสัยถาวร” ของนายอภิสิทธิ์แล้ว สองคนนี้มี “ความเคารพซึ่งกันและกัน” ในระดับที่ลึกซึ้งพอ และต่างก็ “โตพอ” ที่จะไม่ “ตีกัน” ให้ “หมาคาบปลาไปแดก”
นายสุเทพก็เช่นเดียวกัน!!
เพียงแต่บัดนี้ คนหนึ่งเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองที่เป็น “สถาบันทางการเมือง” มีกติกา มีอุดมการณ์ มีธรรมเนียมปฏิบัติ ที่อยู่เหนือ “ตัวบุคคล” เขามีหน้าที่รักษาและสืบทอดหลักการนั้น เป็นหน้าที่ของเขาที่มีต่อ “พรรคประชาธิปัตย์” และต่อ “หลักการประชาธิปไตย” ที่เขาเองก็เชื่อมั่น ส่วนอีกคนหนึ่งก็เดินไปตาม “สถานการณ์” เป็นอิสระทางความคิด ย่อมมีสิทธิที่จะเลือกบริหารจัดการ “สถานการณ์” ไปตามความคิดความเชื่อของตัวเขาเช่นกัน
อภิสิทธิ์เลือกทางหนึ่ง สุเทพเลือกทางหนึ่ง จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่มวลชนคนรัก “อภิสิทธิ์-สุเทพ” จะต้อง “ยกพวกตีกันเอง” ว่าถึงจุดนี้ “เธอจะเลือกใคร”
ในวิถีแห่ง “ประชาธิปไตย” เราทุกคนมี 1 คะแนน ในการ “เลือก” ใครจะเลือกใครหรือไม่เลือกใคร ต้องเกี่ยวดองขึ้นตรงกับใครไหม? ไม่! มวลชนคนรักอภิสิทธิ์-สุเทพ พึงเป็นมวลชน “ประชาธิปไตย” คุณภาพเถิด อย่าเสียสติ ทิ้งปัญญา มาแยกเขี้ยวใส่กันเหมือนหมาบ้าไม่ได้รับวัคซีน และมวลชนคนไม่รักทั้งสองนี้ ก็อย่าเสียเวลายุแยงตะแคงรั่วให้คนคู่นี้จิกตีกันเลย คุณทำไม่สำเร็จหรอก
แต่ที่คุณจะได้เห็นแน่ ก็คือ “จุดยืนแบบ-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เช่นคำให้สัมภาษณ์เมื่อ 1 มีนาคมที่ผ่านมา ดังเช่นที่สื่อทั้งหลายได้นำเสนอไว้ว่า...
“1 มี.ค. 2561- นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ให้สัมภาษณ์ถึงการตั้งพรรคใหม่ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศว่าการมีพรรคการเมืองใหม่ขึ้นเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับประชาชน ซึ่งเป็นปกติธรรมดา และสิ่งที่นายสุเทพพูดในการก่อตั้งพรรค คือการสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็คงเป็นจุดที่เป็นความแตกต่างกับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ถือว่าการลงสมัครรับเลือกตั้งการจัดทำนโยบาย การเสนอตัวบุคลากรเข้าไปทำงาน เราก็สนับสนุนคนที่มีความคุ้นเคย มีส่วนร่วมกับอุดมการณ์นโยบายของพรรคฯ ซึ่งโดยปกติก็จะเป็นหัวหน้าพรรค ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม และพรรคยังยึดถือแนวทางนี้
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าหลังจากการปลดล็อก จะต้องมีการเลือกหัวหน้าพรรค คณะกรรมการบริหารพรรคกันใหม่ และตนไม่คิดว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะมาสมัครเป็นสมาชิก หรือจะมาเป็นผู้บริหารของพรรค เพราะฉะนั้นเมื่อนายสุเทพมองว่า ไม่มีพรรคการเมืองที่จะมารองรับแนวทางการสนับสนุนนี้ นายสุเทพก็สามารถที่จะไปตั้งพรรค เพื่อที่จะผลักดันเป้าหมายตรงนี้ได้
เมื่อถามว่า จุดร่วมของคนที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมายของนายสุเทพ กับพรรคปชป. คืออะไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า จุดร่วมยังเหมือนเดิม พรรคฯ ต่อต้านการคอร์รัปชั่น ต่อต้านระบอบเผด็จการที่แฝงตัวเข้ามาในประชาธิปไตย และต้องการเห็นการปฏิรูป แต่พรรคฯเห็นว่าที่ผ่านมา แนวคิดและแนวทางของรัฐบาลปัจจุบันในการปฏิรูป ไม่สอดคล้องกับการปฏิรูปทั้งการเมือง การปกครอง ราชการ การศึกษา ท้องถิ่น และอื่นๆ ตอนที่มีการพูดจากันมากเรื่องการปฏิรูปประเทศขณะนั้น หัวใจของการปฏิรูปมุ่งไปสู่การกระจายอำนาจ
“แต่แนวทางการบริหารของรัฐบาลปัจจุบันนี้ ค่อนไปในทางการรวมศูนย์อำนาจ แล้วก็กลับไปสู่ระบบรัฐที่ค่อนข้างเป็นราชการ
มากๆ ดังนั้นแม้จะพูดว่ามีการสนับสนุนการปฏิรูปเหมือนกัน แต่แนวคิดเกี่ยวกับการปฏิรูปอาจจะมีความแตกต่างกัน แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดา ทุกพรรคก็มีจุดที่เหมือนกัน และต่างกัน”
เมื่อถามอีกว่า ในกลุ่มของสมาชิกพรรค หรือฐานเสียง กลัวว่าจะถูกแบ่งไปทางนายสุเทพหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นเรื่องธรรมดานะ มีพรรคการเมืองใหม่เขาก็ต้องมาแสวงหาการสนับสนุน สมาชิกพรรค หรือว่าผู้สนับสนุนพรรค รวมทั้งผู้ที่เคยลงคะแนนให้พรรค เขาก็ต้องมีการทบทวนการตัดสินใจอยู่เป็นระยะๆ อยู่แล้ว ก็เป็นเรื่องปกติ และพรรคปชป.ก็เผชิญกับภาวะอย่างนี้มาหลายครั้ง
เมื่อถามย้ำว่า คุยไปไกลถึงขั้นว่าถ้าหลังเลือกตั้งแล้วจะกลับมาร่วมงานกันได้หรือไม่สำหรับ 2 พรรคนี้ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เรื่องการร่วมงานหลังการเลือกตั้งพรรคฯต้องยึดเอาอุดมการณ์ และนโยบายของพรรค ที่ไปเสนอต่อประชาชนเป็นตัวตั้ง ถ้าเราได้รับการสนับสนุนมาเยอะจากประชาชน ก็ต้องเอาแนวทางของเราเป็นตัวตั้ง ใครจะมาทำงานกับเราก็ต้องสนับสนุนแนวทางเรา ถ้าไม่มาสนับสนุนเราก็จะตั้งรัฐบาลไม่ได้ แต่ถ้าหากว่าเราไม่ได้รับการสนับสนุนมาเยอะ แต่คนอื่นเขาได้รับการสนับสนุนมาเยอะกว่า อย่างนี้ตนก็ต้องเจียมตัว พรรคปชป.ต้องเจียมตัว แล้วก็รอดูว่าแล้วเงื่อนไขของเราคือจะมีบทบาทอย่างไร ก็ต้องมาว่ากันต่อไป
ต่อข้อถามว่า สมมุติว่าพรรคของนายสุเทพชนะมากกว่า แล้วหนุนคนนอกเป็นนายกฯ หัวหน้าปชป.กล่าวว่า เรื่องนี้พรรคฯ ก็ต้องมาประชุมกันว่าตกลงเราคิดว่าจะเป็นอย่างไร จะสนับสนุนใครเป็นนายกรัฐมนตรี จะไปร่วมรัฐบาลหรือไม่ จะเป็นฝ่ายค้านหรือไม่ อย่างไรก็ต้องมาว่ากัน ซึ่งก็ต้องไปดูจาก ทิศทางของการนำพาบ้านเมืองในขณะนั้นเป็นหลัก”
ส่วนนายสุเทพ ก็ได้แต่ปฏิเสธว่าตัวเขาไม่ใช่คนตั้งพรรค กปปส. ไม่ใช่ของเขา ใครคิดจะตั้งก็ตั้งไป เขาไม่รับตำแหน่งใดๆ ทางการเมืองอยู่แล้ว จริงเท็จอย่างไรก็ติดตามกันต่อไป ถึงอย่างไร หากเขาจะตั้งพรรคจริงๆ ก็เป็นเช่นที่นายอภิสิทธิ์กล่าวไว้นั่นแหละว่า “ก็เป็นสิทธิของคุณสุเทพ”
นี่คือตัวอย่างของการ “เคารพสิทธิของกันและกัน” เป็นสิทธิตามหลักการประชาธิปไตยที่แต่ละคนก็ต้องเอาชนะใจประชาชน-
คนเลือก ไม่ใช่มาเสียเวลา “เอาชนะกัน” ในพื้นที่ข่าว อย่างที่หลายกลุ่ม
หลายสำนัก พยายามจะ ปั่นหัว” เพื่อให้เกิด
เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่อง “แตกแยก” เพราะเขาแยกกันเดินตามทางของแต่ละคนกันมาหลายปีแล้ว
เต็มที่เรื่องนี้ ก็เป็นได้แค่ “การแตกหน่อ” ของคนที่มีฐานความนิยมเป็นคนกลุ่มเดียวกันออกไป คนเลือกจะเลือกใคร
ก็เลือกไปเถอะ เลือกให้ดีที่สุดสำหรับประเทศชาติก็พอ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี