การทุจริตประพฤติมิชอบ มีคำเรียกกันมาตามแบบสำนวนไทยว่า “ฉ้อราษฎร์-บังหลวง”
ปัจจุบัน มีรูปแบบการทุจริตโกงกินหลากหลายกว่าสมัยก่อน ซับซ้อนกว่า แยบยลกว่า
และการ “ฉ้อราษฎร์ – บังหลวง” ก็ยังเป็นปัญหาร้ายแรงที่สุดอย่างหนึ่งในประเทศไทย
1. กว่า 20 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ระบอบทักษิณเฟื่องฟู คำว่า “ทุจริตโดยนโยบาย” เป็นที่รู้จักมากขึ้น กลบรัศมีการทุจริตในลักษณะเดิมๆ คือ “ฉ้อราษฎร์ บังหลวง” จนหลายคนคิดว่าหมดไปจากประเทศไทยแล้ว
ทุจริตโดยนโยบาย เป็นรูปแบบการทุจริตที่แยบยลกว่า และมีผู้เกี่ยวข้องมากกว่า โดยเป็นเรื่องของคนสามฝ่าย ได้แก่ นักการเมืองผู้กุมอำนาจรัฐ ข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่องค์กรของรัฐ และนักธุรกิจ
ทั้งสามฝ่าย ร่วมกัน สมคบกัน กระทำความผิด
ฝ่ายการเมืองร่วมกับข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่รัฐ ทำการกำหนดนโยบายออกมา เพื่อให้เกิดโครงการ หรือมาตรการที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ จากนั้น นักธุรกิจก็เข้ามามีบทบาทรับงาน รับโครงการ รับผลประโยชน์ นำไปแบ่งปันกัน
ตอบแทนหรือต่างตอบแทนกันผ่านรูปแบบวิธีการต่างๆ
โครงการทุจริตโดยนโยบาย เช่น
กรณีโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน เดิมออกแบบไว้ว่า จะมีโรงบำบัดน้ำเสียแยก ฝั่งซ้าย-ขวาของแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ฝ่ายนโยบายตัดสินใจรวมฝั่งซ้ายกับขวา และต่อท่อยาวออกไปอีก 20 กม. แถมจะทำท่อลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยามาบำบัดที่คลองด่านด้วย งบประมาณเพิ่มขึ้นมหาศาล จากหมื่นกว่าล้าน เป็นสองหมื่นกว่าล้าน เอื้อประโยชน์ให้สามารถซื้อที่ดินอันออกเอกสารสิทธิมิชอบ ราคาแพงกว่าปกติ เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนรับเหมาเข้ามาได้งานในโครงการโดยมิชอบ ฯลฯ เสียหายมหาศาล แถมยังต้องเสียค่าโง่ ก่อนที่จะถูกรื้อคดีใหม่ในยุค คสช.
กรณีที่ดินรัชดา ฝ่าฝืนกฎหมาย ป.ป.ช. ขายที่ดินในความดูแลของหลวงให้แก่ภริยาของนายกรัฐมนตรี
กรณีทุจริตเงินกู้กรุงไทย โดยมิชอบ ภายใต้สั่งการของบิ๊กบอสซุปเปอร์บอส อันปรากฏว่าเงินกู้บางส่วนไหลไปเข้ากระเป๋าลูกชายของนายกฯ ขณะนั้น
กรณีสัมปทานดิวตี้ฟรี กรณีทุจริตเอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้ให้พม่าเอื้อประโยชน์แก่บริษัทโทรคมนาคมของนักการเมือง กรณีแปลงสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต กรณีระบายข้าวจีทูจี ฯลฯ
ในการทุจริตโดยนโยบาย หากขาดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใน 3 ฝ่าย จะทุจริตได้ลำบาก แต่ถ้าผลประโยชน์ลงตัว ร่วมมือกันลงล็อก มูลค่าความเสียหายก็จะรุนแรงมหาศาลกว่าการทุจริตแบบอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบการทุจริตโดยนโยบายก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมองเผินๆ ก็ดูเหมือนว่าเป็นไปตามขั้นตอนราชการ มีศึกษาโครงการ เสนอแนะ อนุมัติ เป็นขั้นเป็นตอน
ถ้าเกิดความเสียหาย ก็มักจะอ้างว่า บกพร่องโดยสุจริต หรือเป็นความเสียหายจากความเสี่ยงปกติ
การตรวจสอบการทุจริตโดยนโยบาย จึงต้องใช้นักวิชาการ นักวิจัย นักเศรษฐศาสตร์ที่มีความเข้าใจการบริหารจัดการทรัพยากร การเล่นแร่แปรธาตุผลประโยชน์ ซึ่งจะต้องเข้าใจทั้งภาพรวมและช่องทางธุรกิจในการจัดสรรผลประโยชน์ในโครงการนั้นๆ และพื้นฐานกิจการงานเกี่ยวกับโครงการนั้นๆ จึงจะจับได้ไล่ทัน
ชาวบ้านทั่วไป หากติดตามโครงการเพียงผิวเผิน ยากจะจับได้ไล่ทัน
แม้แต่นักกฎหมายอย่างเดียว ก็ยากจะเข้าไปกลไกทุจริตโดยนโยบายได้ในระยะเวลาอันสั้น
การจัดการกับกรณีทุจริตโดยนโยบาย เมื่อตรวจสอบ ก็จะต้องใช้กลไกหน่วยงานตรวจสอบอย่างครบครัน จัดหนักจัดเต็ม จึงจะเอาอยู่ เปรียบเหมือนการจับปลาใหญ่ จะมีพละกำลังแรง ดิ้นแรง แถมอาจจะใช้มนต์ดำ ร่ายมนต์เรียกพรรคพวก ทั้งที่อำพรางตัวอยู่ในวงราชการ และเครือข่ายฐานมวลชนการเมือง เข้ากดดันเพื่อให้หลุดคดี การจัดการจะต้องเด็ดขาด รวดเร็ว ต่อเนื่อง รอบด้าน บางครั้งอาจจะต้องใช้ยาสลบเพื่อลดแรงดิ้น อาทิ การอายัดทรัพย์สิน การปลดออกจากตำแหน่งในอำนาจรัฐ ฯลฯ
การจัดการจึงต้องอาศัยกลไกตรวจสอบของรัฐสภา ป.ป.ช. ปปง. ดีเอสไอ นำคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมระดับสูง คือ
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ที่ผ่านมา แม้เราจะจับปลาตัวใหญ่ได้บ้าง แต่ที่หลุดไปก็เยอะกว่า
2.ปัจจุบัน มีการตรวจสอบและจัดการกับกรณี “ฉ้อราษฎร์” ปรากฏผลครึกโครม
โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อาจเพราะการทุจริตโดยนโยบายน้อยลง สร่างซาลง หรือเพราะประชาชนผู้บริโภครู้ทันมากขึ้น ตัวอย่าง เช่น
กรณีทุจริตเงินทอนวัด ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานเกี่ยวข้องกับการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา การจัดการศึกษาพระ การส่งเสริมกิจกรรมศีลธรรมจริยธรรม กลับกลายเป็นผู้กระทำการทุจริตเสียเอง โดยเรียกรับเงินทอนจากงบอุดหนุน บางกรณีงาบไปกว่า 80% ของงบประมาณแผ่นดินที่จัดสรรให้แก่ทางวัด นับเป็นการ “ฉ้อราษฎร์” แถมยังมีพฤติกรรมฟอกเงินต่อไปอีกด้วย
กรณีโกงเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้ คนไร้ที่พึ่ง คนติดเชื้อเอดส์ ซึ่งสอบจังหวัดไหนก็เจอว่ามีการทุจริตกันเกือบทุกจังหวัด แถมทำกันมายาวนานเกือบ 10 ปี เพียงแต่เรื่องมาแดงเอาในยุคนี้ หลังจากนักศึกษาฝึกงานไปพบที่ศูนย์ขอนแก่น แล้วไม่ยอมร่วมโกง ออกมาร้องเรียนไปที่ คสช. ก่อนจะส่ง ป.ป.ท.สอบสวน ขณะที่สังคมก็โหมกระพือกระแสกดดันผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย มุ่งให้จัดการอย่างเด็ดขาด นำมาซึ่งการจัดการกับข้าราชการระดับปลัดกระทรวง และขยายผลสอบไปทั่วประเทศในปัจจุบัน
การจัดการกับการทุจริตประเภท “ฉ้อราษฎร์” เช่นนี้ ผู้ที่จะตรวจสอบได้ดีที่สุด คือ ประชาชน ผู้บริโภค ที่เกี่ยวข้องโดยตรง เพราะรูปแบบการทุจริตที่กระจายออกไปตามพื้นที่ต่างๆ ตัวข้าราชการระดับล่างจะมีบทบาทสูงมาก โดยทุจริตสำเร็จเป็นรายพื้นที่ไป แตกต่างจากทุจริตโดยนโยบาย
ในการจัดการกับการฉ้อราษฎร์ คนในพื้นที่ ประชาชนผู้บริโภค ผู้เป็นเจ้าของสิทธิประโยชน์ที่ถูกฉ้อไป รวมถึงเจ้าหน้าที่ผู้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการทำงาน จะมีบทบาทในการแฉข้อมูล เปิดโปง รวมถึงเป็นพยานเอาผิด ได้มากกว่านักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิ (ไม่เหมือนทุจริตโดยนโยบาย) ดังที่ปรากฏว่า กรณีทุจริตเงินคนยากไร้ ผู้ที่ออกมาแฉ ก็คือนักศึกษาและอดีตเจ้าหน้าที่ศูนย์ที่เคยถูกให้ปลอมลายมือชื่อเพื่อฉ้อราษฎร์นั่นเอง หรือกรณีทุจริตเงินทอนวัด คนที่มีบทบาทแฉและร้องเรียนให้ตรวจสอบเอาผิด ก็คือเจ้าอาวาสที่ไม่ยอมร่วมโกงนั่นเอง
การสร้างระบบตรวจจับและล้างบางการ “ฉ้อราษฎร์” รัฐจะต้องสร้างเครือข่าย ให้ประชาชนที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ในทุกระดับ อยู่ใกล้พื้นที่เกิดเหตุ ใกล้ผู้เสียหาย และตัวผู้เสียหาย คือ ประชาชนผู้บริโภค เข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบ เพราะการทุจริตมันกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ
ควรใช้โซเชียลมีเดียให้เกิดประโยชน์ ทั้งในด้านการสื่อข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ ว่ามีโครงการช่วยเหลือใคร จำนวนเงินหัวละเท่าไหร่ จ่ายเมื่อไหร่ ใครมีสิทธิจะได้รับ ฯลฯ เพื่อประชาชนผู้มีสิทธิจะได้รับรู้สิทธิประโยชน์ของตนเอง ขณะเดียวกัน ก็เปิดรับข้อมูลอีกทางว่า มีใครพบข้อพิรุธ หรือพบการทุจริตฉ้อราษฎร์ที่ไหน อย่างไรบ้าง
กรณีทุจริตเงินสงเคราะห์คนยากไร้ ทำให้มองเห็นช่องโหว่การจัดการเงินช่วยเหลือประชาชนกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น คนจน คนสูงอายุ ผู้พิการ แม่ลูกอ่อน ฯลฯ หากไม่ดำเนินการโอนเงินเข้ากระเป๋าของกลุ่มเป้าหมายโดยตรง ก็จะมีช่องโหว่ อาจรั่วไหลไปสู่กระเป๋าข้าราชการที่ “ฉ้อราษฎร์” เช่นนี้ได้เหมือนกัน
3. “บังหลวง” ยุคนี้ยังมีเรื่องอยู่ ปรากฏข่าวเป็นครั้งเป็นคราว ไม่ครึกโครม
ลักษณะของการ “บังหลวง” คือ เอาเงินหลวงเงินแผ่นดินมาเข้ากระเป๋าผลประโยชน์ตัวเอง เช่น กินสินบาทคาดสินบน หรือเอาเงินหลวงไปทำโครงการแล้วให้ตนเองได้ผลประโยชน์ เช่น จัดซื้อจัดจ้างโดยล็อกสเปกให้บริษัทพวกตน เป็นต้น
ตัวอย่างที่มีคนพูดกันมาก พูดกันมาทุกยุค (ไม่ว่าจะยุคเลือกตั้งหรือยุคทหาร) คือ การจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ การ
ใช้บ้านและที่ดินหลวงในการอยู่อาศัย และทำธุรกิจ การใช้รถยนต์หลวง การใช้คนหลวง พลขับ ผู้ช่วย ผู้ติดตาม ซึ่งเป็นคนที่กินเงินเดือนหลวง การใช้ทหารเกณฑ์มารับใช้ที่บ้านเป็นการส่วนตัว การเอางบหลวงไปท่องเที่ยวโดยอ้างศึกษาดูงานฯลฯ
การบังหลวง ดูเผินๆ ประชาชนจะไม่รู้สึกเจ็บปวด ไม่ได้รับผลกระทบ แต่ปัญหาใหญ่ คือ การใช้งบประมาณ หรือใช้ทรัพยากรแผ่นดินที่ไม่มีประสิทธิภาพ
การบังหลวงจากรายรับ เช่น เงินภาษีจากหน่วยงานศุลกากร สรรพสามิต สรรพากร บางเรื่องไม่เก็บจากผู้มีอำนาจ หรือพวกพ้องตัวเอง โดยที่ตนเองได้รับเงินไว้เอง ทำให้รัฐสูญเสียรายได้
การบังจากรายจ่าย เช่น กินคอมมิชชั่น กินสินบน การฯลฯ
การทุจริตประเภทนี้ ทำให้ประเทศชาติส่วนรวมได้ของที่ไม่มีประสิทธิภาพ ล้าหลัง บิดเบือนการตัดสินใจโครงการ แทนที่จะเลือกหนทางที่ดีที่สุดสำหรับส่วนรวม แต่เลือกเอาแนวทางที่ตนเองได้ผลประโยชน์ส่วนตัวมากที่สุด บิดเบือนการตัดสินใจใช้ทรัพยากร ทำให้เดินไปผิดทาง
การป้องกันปราบปรามเรื่องบังหลวง ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ของรัฐ ข้าราชการร่วมด้วยช่วยกันเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น สตง.คตง. ป.ป.ท. ป.ป.ช. รวมถึงนักการเมืองที่เข้ามาบริหารประเทศ จะมองเห็นประเด็นเหล่านี้ เช่นเดียวกับประชาชนที่ติดต่อพบเห็นโดยตรงจึงจะล่วงรู้ และมีข้อมูล
สื่อโซเชียลมีเดียจึงมีความสำคัญ ถ้ารัฐให้ข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้าง การดำเนินโครงการทั้งหลายอย่างละเอียด ยกตัวอย่าง การจัดสัมมนาของหน่วยงานรัฐ ไม่ว่าจะเป็น หน่วยงานราชการ อปท. สส. สว. ฯลฯ หากมีการเปิดเผยข้อมูล ว่าคณะไหน หน่วยงานใด จะไปที่ไหน เมื่อใด ศึกษาดูงานเรื่องอะไร งบประมาณเท่าใด ประชาชนก็จะสามารถช่วยสอดส่อง หากไปพบพฤติกรรมไม่ชอบมาพากลก็สามารถให้ข้อมูลได้ ในขณะที่เจ้าหน้าที่ผู้ไปดูงานก็จะเกิดความตระหนักว่า จะต้องไปดูงานจริงๆ ออกนอกลู่นอกทางไม่ได้ เพราะถูกจับตามองอยู่
4. ล้างบาง “ฉ้อราษฎร์-บังหลวง-ทุจริตโดยนโยบาย”
ภาครัฐควรสร้างระบบจัดการอย่างต่อเนื่อง มีกระบวนการที่ชัดเจน
(1) สร้างระบบเครือข่ายย่อย สนับสนุนภาคประชาชนสังคม ทุกระดับ กระจายออกไปในพื้นที่ เมื่อทำโครงการอะไรก็ตาม จะต้องสร้างโครงข่ายการตรวจสอบทันที เช่น โครงการเงินบำรุงพระพุทธศาสนา ก็ต้องมีเครือข่ายตรวจสอบจากผู้เกี่ยวข้อง เพื่อจับจ้องมองดู และส่งข้อมูลการทุจริตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(2) สังคมและรัฐต้องยกย่องผู้กล้า ช่วยปกป้องคนตรวจสอบ ให้รางวัลเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดี
(3) ในยุคนี้ ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ภาครัฐต้องให้ข้อมูลรอบด้าน โปร่งใส ตรงไปตรงมา ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลให้มากสุด ประชาชนจะได้รับรู้และช่วยกันตรวจสอบ รวมถึงช่วยเสริมภูมิคุ้มกันมิให้ผู้ไม่ประสงค์ดี อาศัยความไม่รู้ของประชาชนใช้วิธีบิดเบือนปลุกระดมด้วยข้อมูลข่าวสารเท็จ หรือความจริงครึ่งเดียว
ภาครัฐควรใช้โซเชียลมีเดียให้เป็นประโยชน์ ทั้งด้านการให้ข้อมูล และการรับข้อมูลจากประชาชน
(4) สร้างระบบคานและดุลกับผู้มีอำนาจ เพื่อให้เกิดการตรวจสอบทุกระดับ แม้จะเป็นวัด พระ จะต้องมีการตรวจสอบจากชุมชน
(5) บุคคลระดับสูงของประเทศจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดี ห้ามโกง และห้ามปล่อยให้ใครโกง
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้อง ผู้มีพระคุณ
และต้องปราบปรามให้เป็นตัวอย่างด้วย
การจัดการให้เป็นเยี่ยงอย่าง เพื่อสร้างค่านิยมใหม่ให้ได้ ลบล้างค่านิยมเชิงลบที่เคยมีในยุคระบอบทักษิณ เช่น ใครๆ ก็โกง, โกงไม่ว่าขอทำงาน, รวยแล้วไม่โกง (ขึ้นเงินเดือนให้ตำรวจแล้วคงไม่โกง), ถ้าเราไม่โกงจะเสียเปรียบคนอื่น
จะยากจนกว่าคนอื่น ฯลฯ
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี