ช่วงนี้ มีข่าวด้านลบเกี่ยวกับการทำหน้าที่ของตำรวจ ในฐานะพนักงานสอบสวนคดีอาญา ยกตัวอย่าง
1.เปลี่ยนสำนวน
เมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2561 เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) นำโดย พ.ต.ท.พสิษฐ์ เก็งทอง รอง ผกก.4 บก.ปปป.ร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)วางแผนที่จับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยศ ร.ต.อ.นายหนึ่ง
ตำรวจนายนี้ มีตำแหน่งเป็นรองสารวัตรสอบสวน สภ.แห่งหนึ่ง
มีพฤติกรรมเรียกรับเงินจากผู้เสียหายชาวจังหวัดลำปาง
ผู้เสียหายได้ยื่นร้องเรียนไปยัง ปปป.ส่วนกลาง ทางเจ้าหน้าที่ได้จัดกำลังเข้ามาตรวจสอบ และพบว่ามีพฤติกรรมกระทำผิดจริง จึงได้มีการวางแผนจับกุมทันที
ภาษาข่าวเรียกว่า “จับสด”
กล่าวคือ ผู้เสียหาย ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนไปยัง ปปป. พร้อมแจ้งรายละเอียดให้ทราบว่า นายตำรวจยศ ร.ต.อ.รายนี้ คือ ร.ต.อ. “ก.” (นามสมมุติ) ตำแหน่ง รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองเขลางค์นคร ปฏิบัติหน้าที่เป็นพนักงานสอบสวน คดีลักทรัพย์บ้านหลังหนึ่งในพื้นที่ จ.ลำปาง และจากการไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบรอยนิ้วมือแฝงตรวจสอบแล้วเป็นของผู้เสียหาย และมีลายนิ้วมืออื่นๆ ร่วมด้วย เมื่อตรวจสอบประวัติของผู้เสียหาย ก็พบว่าเคยทำงานที่บ้านหลังนี้เมื่อ 2 ปีก่อน จากนั้นได้ลาออกมา ก่อนจะได้งานใหม่เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยประจำอยู่สถานที่แห่งหนึ่ง ต่อมา ร.ต.อ.คนนี้ เรียกผู้เสียหายไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจ พร้อมกับแจ้งว่าตรวจพบลายนิ้วมือแฝงของผู้เสียหาย และหากจะไม่ให้ถูกดำเนินคดี อาจมีการลบรอยนิ้วแฝงออกไป ให้นำเงิน 20,000 บาท มาให้ภายในวันที่ 15 ก.พ. 2561 โดย ร.ต.อ.คนนี้ เตรียมเอกสารไว้ 2 ชุด คือ เอกสารส่งฟ้อง และเอกสารไม่ส่งฟ้อง หากได้รับเงินแล้วก็จะไม่ส่งฟ้องผู้เสียหาย
เจ้าหน้าที่วางแผน “จับสด” โดยเตรียมแผนส่งมอบเงิน 2 หมื่นบาท นัดพบกันที่ร้านกาแฟในร้านหนังสือแห่งหนึ่ง ร.ต.อ.คนนี้สวมเสื้อเชิ้ตสีชมพู กางเกงขายาวสีดำ และสวมหมวกสีน้ำเงินมาตามสถานที่นัดพบ จากนั้นได้เดินออกจากร้านกาแฟ แล้วไปส่งมอบเงินกันที่รถของ ร.ต.อ.ที่จอดห่างออกไป ประมาณ 500 เมตร และได้รับเงินไปแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ที่ซุ่มอยู่ จึงแสดงตัวเข้าไปควบคุมตัวทันที พร้อมของกลางเงินสด 20,000 บาท ก่อนที่จะควบคุมตัวมาสอบสวนที่ สภ.เมืองลำปาง และส่งพนักงานสอบสวนดำเนินการตามกฎหมาย
นี่คือกรณีศึกษาพฤติกรรมมิชอบในการทำหน้าที่ของตำรวจ ในฐานะพนักงานสอบสวน ซึ่งในที่สุด ถูกจับได้แบบคาหนังคาเขา พร้อมเงินสดๆ กันเลยทีเดียว
2.บิดสำนวน
กรณีคดีหวย 30 ล้าน ปรากฏชัดเจนว่า มีตำรวจที่ทำหน้าที่ในฐานะพนักงานสอบสวนคดีดังกล่าว ประพฤติในทางมิชอบ จนกระทั่งถูกย้าย และถูกดำเนินคดีอาญา ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ
พฤติกรรมส่อไปในทำนอง “บิดสำนวน” โดยสั่งให้ลูกน้องทำการพยานปากต่างๆ ให้กลมกลืน มีการแก้ไขบันทึกคำให้การเดิมของพยาน โดยเพิ่มข้อเท็จจริงใหม่ลงในคำให้การเดิมที่สอบสวนไว้ครั้งแรก แล้วลงวันที่ย้อนหลัง เพื่อให้เห็นว่ามีการกล่าวถึงพยานหลักฐานต่างๆ ครบถ้วนตั้งแต่การสอบสวนครั้งแรก โดยมีการแก้ไขในลักษณะนี้หลายครั้ง ส่วนคำให้การเดิมได้ฉีกทิ้ง
ขณะนี้ ยังอยู่ระหว่างดำเนินคดีอาญา
3.คดีล่าเสือดำ
ในคดีล่าเสือดำที่ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฯสังคมคาใจการทำหน้าที่ของตำรวจ ในฐานะพนักงานสอบสวน
สังคมบางส่วน ไม่เชื่อถือ ถึงขนาดใช้อคติและความไม่รู้กฎหมาย ตั้งประเด็นเกินเลยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายไปมาก ในประเด็นการไม่ดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.ทารุณกรรมสัตว์ฯ
แต่ข้อสงสัยในการทำหน้าที่ของพนักงานบางส่วน ก็มีน้ำหนัก น่ารับฟัง
และพนักงานสอบสวนควรพิสูจน์ตนเอง ว่าไม่ได้จะเป่าสำนวน หรือบิดสำนวนช่วยใคร โดยการอุดช่องโหว่ในประเด็นที่มีการท้วงติง เพื่อให้สำนวนมีความรัดกุมแน่นหนาที่สุด
หนึ่งในข้อท้วงติงที่น่ารับฟัง ปรากฏในเฟซบุ๊ค Kanita Ouitavon โดยคุณกณิตา อุ่ยถาวร หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการนิติวิทยาศาสตร์สัตว์ป่า กรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้ออกมาให้ความเห็นในประเด็นเกี่ยวเนื่องกับการให้ข่าวระหว่างการทำหน้าที่ของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รอง ผบ.ตร.) เกี่ยวกับการตรวจพิสูจน์หลักฐานวัตถุพยานดีเอ็นเอเสือดำ บนมีดและเขียง ทำนองว่าไม่สามารถระบุดีเอ็นเอคนใช้ได้ชัดเจน เหตุเพราะกรมอุทยานฯ นำไปตรวจหาดีเอ็นเอเสือดำก่อนนั้น ระบุว่า
“เรียน เพื่อนๆ ผู้สนใจติดตามข่าวเสือดำถูกล่าในเขตฯทุ่งใหญ่ทุกท่านนะคะ
สืบเนื่องจากข่าวในวันนี้ที่กล่าวถึงการติดตามการตรวจพิสูจน์หลักฐานวัตถุพยานในคดีฯดังกล่าว ที่กล่าวว่าพบดีเอ็นเอของเสือดำบนมีดและเขียง แต่ไม่สามารถระบุดีเอ็นเอคนใช้ได้ชัดเจน เหตุเพราะกรมอุทยานฯ นำไปตรวจหาดีเอ็นเอเสือดำ
ก่อนนั้น อาจทำให้ประชาชนมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้.... ดิฉัน ดร.กณิตา อุ่ยถาวร ทำหน้าที่หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการนิติวิทยาศาสตร์สัตว์ป่า ของกรมอุทยานฯ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบและควบคุมดูแลการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอสัตว์ป่าในคดีนี้ ขอชี้แจงให้ทุกท่านเข้าใจ...ดังนี้นะคะ
1.กรมอุทยานฯ โดยหน่วยปฏิบัติการนิติวิทยาศาสตร์สัตว์ป่า ได้รับตัวอย่างวัตถุพยาน (ซึ่งมีมีดทั้ง 6 เล่ม และชิ้นส่วนของเขียงรวมอยู่ด้วย) จาก สภ.ทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561 ซึ่งมีการระบุว่าได้ผ่านการตรวจลายนิ้วมือและดีเอ็นเอของมนุษย์จากตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานมาเรียบร้อยแล้ว ในนั้นมีอุจจาระที่ตรวจแล้วว่าเป็นดีเอ็นเอของคุณเปรมชัย กรรณสูต อยู่ด้วย ซึ่งมีการแจ้งความประสงค์ว่าต้องการนำมาตรวจหาดีเอ็นเอสัตว์ป่าต่อ.. (ดูภาพถุงประกอบค่ะ) และต้องการให้หาว่ามีดีเอ็นเอของเสือดำอยู่ด้วยหรือไม่? ซึ่งทางหน่วย ได้รับตัวอย่างไว้ตรวจตามที่ร้องขอ...จึงแสดงว่าทางกรมอุทยานฯ มิได้นำตัวอย่างวัตถุพยานดังกล่าวนี้มาตรวจหาดีเอ็นเอเสือดำก่อนแต่อย่างใด แต่ตรวจตามที่ตำรวจร้องขอและเป็นผู้นำมาส่งให้ หลังจากที่ทางตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานได้ดำเนินการตรวจดีเอ็นเอของมนุษย์ไปก่อนหน้านั้นแล้ว
2.ในเนื้อข่าวที่ระบุว่า...มีการปนเปื้อนจากสารเคมีที่เจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ ใช้ตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอเสือดำตั้งแต่แรก ทำให้ตรวจดีเอ็นเอบุคคลไม่ได้ เพราะถูกทำลายไปแล้ว (อันนี้..เป็นคำกล่าวที่ตลกมากและไม่เป็นความจริงแต่อย่างใดนะคะ คือไม่มีการใช้สารเคมีอะไรเลยค่ะ) ขอเรียนว่าทางหน่วย ตรวจดีเอ็นเอจาก swab หรือก้านสำลีที่ทางตำรวจป้ายคราบเลือดมาให้เรียบร้อยแล้ว เพียงก้านเดียวก็พบดีเอ็นเอของเสือดำแล้ว ส่วนตัวมีดทั้ง 6 เล่ม ทางหน่วย เป็นผู้เก็บรักษาไว้ให้ (ตั้งแต่วันที่ได้รับมาคือวันที่ 16 กุมภาพันธ์ จนถึงวันที่ส่งคืนคือวันนี้ 9 มีนาคม 2561) โดยที่มิได้มีการแตะต้องที่ด้ามมีด หรือตัวมีดแต่อย่างใด อีกทั้งยังใส่ถุงมือเวลาทำงาน ดังนั้น ลายนิ้วมือและดีเอ็นเอของมนุษย์ที่จะมีก่อนหน้านั้น จึงยังมิได้ถูกทำลายแต่อย่างใดค่ะ ซึ่งก็ได้ส่งคืนให้แล้วในวันนี้ ดังนั้น ทางตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานก็สามารถนำไปตรวจพิสูจน์เพิ่มเติมเป็นครั้งที่ 2 ได้อย่างแน่นอนค่ะ
คดีนี้เป็นคดีที่สังคมให้ความสนใจมาก ในท่ามกลางการสูญเสีย คือ ชีวิตที่กลับคืนมาไม่ได้ของเสือดำตัวนี้นั้น...สิ่งที่เราได้กลับคืนมาอย่างเข้มแข็งในตอนนี้ ก็คือจิตสำนึกร่วมของประชาชนในการหวงแหนและอยากจะปกปักรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสัตว์ป่าที่ดูบอบบางของชาติให้คงอยู่ตลอดไป...ในฐานะที่ดิฉันก็เป็นประชาชนคนหนึ่งที่มีจิตสำนึกร่วมนี้เหมือนกัน ไม่ใช่เฉพาะแค่คนตรวจดีเอ็นเอสัตว์ป่า ก็อยากจะเห็นความถูกต้อง ความยุติธรรม และการไม่บิดเบือนความจริงใดใด รวมทั้งก็อยากเห็นทุกท่านที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้แม้แต่น้อยนึงก็ตาม ได้ทำหน้าที่ของตนอย่างตรงไปตรงมา และบริสุทธิ์ใจ...อยากเห็นทุกคนช่วยกันแสดงออกเพื่อเป็นปากเสียงให้กับสัตว์ป่าผู้น่าสงสารที่ต้องมาตายเพราะถูกมนุษย์ใจร้ายล่าอย่างแท้จริงค่ะ...ได้โปรดช่วยกันเพื่อให้เสือดำตัวนี้ไม่ตายฟรีนะคะ..”
นี่คือข้อท้วงติงสำคัญ และจะมีผลต่อการต่อสู้ในชั้นต่อไป ว่าสำนวนจะรัดกุมแน่นหนา หรือมีรูโหว่ให้ใครออกลอยนวลด้วยเหตุแห่งความสงสัยต่อไป
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ท่านจะทุบโต๊ะ ให้มีการปฏิรูประบบพนักงานสอบสวน ตามที่ภาคประชาสังคม และคณะกรรมการหลายต่อหลายชุดเคยนำเสนอไว้ได้แล้วหรือยัง? หรือจะปล่อยให้ต้นธารของกระบวนการยุติธรรมจมอยู่ในปัญหาเช่นนี้ต่อไป
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี