สัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรี สนามบินสุวรรณภูมิ กำลังจะสิ้นสุดลงในเดือนกันยายน 2563
หากเป็นไปตามโรดแมป ก็คงจะตกอยู่ในช่วงรัฐบาลชุดต่อไป ที่มาจากการเลือกตั้ง
น่าขนลุก-ขนชัน.. เพราะสัญญาปัจจุบัน ที่มีปัญหาข้อถกเถียงคาราคาซังยืดเยื้อมานาน ก็เกิดขึ้นในยุครัฐบาลเลือกตั้งนั่นเอง และการต่อสัญญากันแบบสายฟ้าแลบ ก็ทำกันในยุคนักการเมืองนั่นแหละ
ระหว่างนี้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ “ทอท.” อยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบของสัมปทานดิวตี้ฟรี ว่าจะเลือกรูปแบบสัมปทานอย่างไร? จะมีผู้รับสัมปทานกี่ราย? จะมีการแข่งขันแค่ไหน อย่างไร?
น่าสนใจว่า มีการระดมความคิดเห็นจากนักวิชาการ ผู้เกี่ยวข้อง เพื่อหาทางเลือกเชิงนโยบายในการบริหารจัดการดิวตี้ฟรี ที่เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติส่วนรวม เพราะไม่ว่าจะเลือกทางใด การเปิดประมูลและเซ็นสัญญากับคู่สัญญาใหม่ (อาจจะเป็นรายเก่าก็ไม่มีใครห้าม ถ้าให้ผลประโยชน์ตอบแทนสูงสุด) ก็คงจะต้องมีขึ้นก่อนหมดอายุสัญญา เพื่อให้เอกชนได้เตรียมตัวส่งมอบพื้นที่ รับไม้ต่อหลังการทำสัญญา การวางแผนธุรกิจ การติดต่อแบรนด์ระดับโลก การรีโนเวต ปรับปรุงร้านค้าภายในพื้นที่ทั้งหมด ฯลฯ
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ไม่พ้นที่จะถูกคาดหวังให้เข้ามาดูแล และกำกับ เพื่อมิให้เกิดปรากฏการณ์ “เตะหมูเข้าปากหมา”
1. ไม่ว่าจะเป็นเอกชนรายเก่า หรือรายใหม่ ไม่ควรจะถูกกีดกันออกจากการแข่งขัน ในการเสนอผลประโยชน์ตอบแทนที่ดีที่สุดแก่รัฐ
ไม่ควรกำหนดเงื่อนไขที่กีดกันรายใหม่ หรือตั้งกำแพงปิดกั้นการเข้ามาแข่งขันของรายใหม่ๆ
ผลประโยชน์ตอบแทนที่ดีที่สุด มิใช่ดูเฉพาะผลประโยชน์ตอบแทนที่ให้แก่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เท่านั้น เพราะใน ทอท. ปัจจุบันมีเอกชนร่วมถือหุ้นด้วย (กระทรวงการคลังถือหุ้น 70%) แต่ควรพิจารณาถึงผลประโยชน์ด้านอื่นๆ เช่น ผลประโยชน์ต่อประชาชนผู้บริโภค ต่อการดึงดูดนักท่องเที่ยว ต้องการพัฒนาเศรษฐกิจส่วนรวม ฯลฯ
2. ควรสะสางข้อครหา ปมผลประโยชน์ที่ติดพันกับคู่สัญญาปัจจุบันให้มีความชัดเจนโดยเร็ว
มิใช่ปล่อยไว้ยาวนาน จนถึงเวลาเปิดประมูลใหม่
ก่อนหน้านี้ มีทั้งการตรวจสอบของ สตง. และคณะกรรมาธิการของ สปท.
นำเสนอผ่านรองนายกฯ วิษณุ เครืองาม และไปจนถึงนายกรัฐมนตรีแล้ว หรือไม่?
3. ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ ผู้อำนวยการวิจัย ด้านการบริหารจัดการระบบเศรษฐกิจ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุว่า ทั้งร้านดิวตี้ฟรีในสนามบิน และร้านดิวตี้ฟรีในเมือง ในต่างประเทศเขาให้มีการแข่งขันกันทั้งนั้น ยกตัวอย่าง ในเกาหลีใต้ มีร้านดิวตี้ฟรีในเมืองถึง 6 แห่ง เป็นต้น ขณะที่ร้านดิวตี้ฟรีในสนามบิน ก็มีผู้ประกอบการมากกว่า 1 รายทั้งสิ้น
“ในโลกนี้ ประเทศไทยแทบจะเป็นประเทศเดียวที่ใช้รูปแบบการให้สัมปทานดิวตี้ฟรีรายใหญ่เพียงรายเดียว สนามบินที่ใช้รูปแบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นสนามบินใหม่หรือสนามบินขนาดเล็ก”
ประเทศไทยควรต้องเปลี่ยนรูปแบบการให้สัมปทานใหม่ เพื่อไม่ให้ธุรกิจเกิดการผูกขาดเหมือนที่ผ่านมา โดยรูปแบบที่เหมาะสม คือ 1.การให้สัมปทานตามที่ตั้ง ซึ่งเป็นสัมปทานที่มอบให้กับผู้ให้บริการหลายราย ขึ้นอยู่กับที่ตั้งในอาคารผู้โดยสาร และ 2.สัมปทานตามกลุ่มสินค้า ให้กับผู้ให้บริการหลายราย โดยแบ่งตามประเภทสินค้า
นอกจากนี้ สำหรับดิวตี้ฟรีในเมือง ท่าอากาศยานก็ควรปลดล็อกปัญหาจุดรับมอบสินค้าปลอดอากร หรือ pick up counter ให้กับผู้ประกอบการดิวตี้ฟรีในเมืองทุกรายด้วย
4. ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ ผู้อำนวยการบริหาร สมาคมผู้ค้าปลีกไทย (TRA) ระบุว่า ในปี 2560 ที่ผ่านมา สนามบินสุวรรณภูมิถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 38 จาก 100 อันดับสนามบินจากทั่วโลก
โดยมีคะแนนจากสกายแทรก (Sky Trak) อยู่ที่ 3.5/5
ที่สำคัญ คะแนนที่เกี่ยวข้องกับค้าปลีกของสนามบินสุวรรณภูมินั้น ต่ำกว่าสนามบินชั้นนำอื่นๆ ในภูมิภาคเกือบทุกตัววัด และมีผลการประเมินที่ต่ำกว่าเกณฑ์ เช่น ร้านค้าปลอดอากรมีกลุ่มสินค้าและจำนวนสินค้าน้อย แบรนด์หรูไม่หลากหลาย ฯลฯ เมื่อเทียบกับเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ฮ่องกง และสิงคโปร์ อาจเป็นเพราะว่าธุรกิจร้านค้าปลอดอากรของไทยไม่มีการแข่งขัน เป็นลักษณะ “สัมปทานรายใหญ่รายเดียว”
ดร.ฉัตรชัย เสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เปลี่ยนแปลงรูปแบบสัมปทาน
จาก “สัมปทานรายใหญ่รายเดียว” หรือ (master concession) เป็น “สัมปทานตามกลุ่มสินค้า” หรือ multiple concession by cattegory ซึ่งเป็นสัมปทานที่ให้แก่ผู้ดำเนินกิจการหลายรายโดยแบ่งตามประเภทสินค้าหลัก เช่น เครื่องสำอาง สุรา-บุหรี่-ไวน์, แฟชั่น, แฟชั่นบูติก ฯลฯ เป็นต้น
นอกจากนี้ ควรพิจารณาปรับเงื่อนไขระยะเวลาสัญญาของสัมปทาน มาอยู่ในระดับ 5-7 ปี เหมือนกับหลายๆ ประเทศทั่วโลกมิใช่ยาวนานเป็นสิบปี
พิจารณาปรับเพิ่มค่าธรรมเนียมสัมปทานให้สูงขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับค่าเฉลี่ยสากล และที่สำคัญ ควรพิจารณาเกณฑ์ในการพิจารณามอบสิทธิ์สัมปทานของไทย โดยให้น้ำหนักกับข้อเสนอการประเมินผลทางธุรกิจ (เทคนิค) 60% และข้อเสนอด้านราคา (การรับประกันรายได้ขั้นต่ำ, ส่วนแบ่งจากการขายสินค้า) ในสัดส่วน 40% ซึ่งเป็นเกณฑ์ปฏิบัติตามมาตรฐานสากลด้วย
5. จะเห็นว่า ตัวอย่างแนวทางข้อเสนอแนะข้างต้นนั้น ล้วนแต่น่ารับฟัง น่าพิจารณาทั้งสิ้น
ล่าสุด ทราบว่า ทอท. ได้มีการจ้างบริษัทที่ปรึกษา ตามกระบวน พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ซึ่งจะมีการประเมินมูลค่าโครงการลงทุนต่างๆ และศึกษารูปแบบของธุรกิจ (Business Model)
ควรจะนำข้อเสนอแนะเหล่านี้ มาวิเคราะห์ร่วมเป็นทางเลือกด้วย
มิฉะนั้น สุดท้ายแล้วผลออกมาอย่างไร ก็จะมีข้อครหาสงสัยกันต่อไปอยู่ดี
น่าคิดว่า อาคารผู้โดยสารหลังใหม่ กำลังจะสร้างเสร็จประมาณเดือนพฤศจิกายน 2562 ขณะที่สัญญาสัมปทานของรายเดิม กำลังจะสิ้นสุดในเดือนกันยายน 2563 ไล่ๆ กันพอดี จะได้ตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไร? จะเปิดประมูลพร้อมกันไปเลย ตั้งแต่บัดนี้หรือไม่? เพื่อครบถ้วนในการวางแผนธุรกิจ (ส่วนใครได้พื้นที่ของรายเก่า ก็ค่อยเข้าไปเริ่มดำเนินการหลังรายเก่าหมดสัญญา)
ถ้าเกิดคาราคาซัง ลากยาวไปจนถึงรัฐบาลต่อไป ก็จะเปิดปัญหาในการส่งมอบระหว่างรายเก่า-รายใหม่ หรือจะเกิดปรากฏการณ์ “เตะหมูเข้าปากหมา” หรือไม่?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี