ภาพนี้คือผมเองครับ เมื่อครั้งไปเยี่ยมชมร้านรับซื้อยาพาราท้องถิ่น ใน อ.บางขัน จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งถ้าเป็นช่วงกว่า 10 ปีที่แล้วราคายางพาราเฉียด 200 บาทต่อ กก.ปริมาณยางแผ่นบนตาชั่ง 2 ตัวนี้ ขายแล้ว เกษตรกรไม่ต้องเสียภาษีรายได้ ณ ที่จ่าย เงินก็มี เพียงพอที่จะนำเงินไปดาวน์รถปิกอัพ ได้สบายๆ
ยุคนั้นเป็นยุคทองของชาวสวนยาง
แต่ขณะนี้ราคายางพาราอยู่ที่ กก.ละไม่เกิน 50 บาท ก็ลองคำนวณดูเอาเองว่าเงินหายไปจากกระเป๋าชาวสวนยางมากน้อยแค่ไหน??
เกษตรกรชาวสวนยางเป็นนักช็อปปิ้งกลุ่มที่มีอำนาจการซื้อสูง กระตุ้นเศรษฐกิจประเทศได้เป็นอย่างดี เมื่อราคายางหล่นวูบ อำนาจการซื้อก็ถดถอย กระทบไปเป็นลูกโซ่ กระทบไปถึงพ่อค้าแม่ค้า รายย่อยรายใหญ่ ซึ่งเป็นไปตามทฤษฎีวงจรเศรษฐกิจขั้นพื้นฐาน แต่ตอนนี้นเน้นใช้คำว่า“กลไกตลาด”
ที่ผมเขียนเรื่องนี้คือว่าเมื่อเร็วๆ นี้ฝ่ายความมั่นคง เชิญตัวแกนนำชาวสวนยางในจังหวัดตรัง ไปขอร้องให้เพลาๆ มือเกี่ยวกับตามการเคลื่อนไหวเล่นงาน ผู้ที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาราคายางพารา และไม่เห็นด้วยที่จะให้บริษัทเอกชนเข้ามาเป็นผู้จัดเก็บเงินค่าธรรมเนียมการส่งออกยางพารา (Cess) โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านแกนนำชาวสวนยาง และพนักงานการยางแห่งประเทศไทย (กยท.)บางฝ่าย โดยอ้างว่าจะทำให้กยท.เสียประโยชน์
การหารือในวันนั้นก็เป็นไปด้วยดี สรุปคือทุกอย่างอยู่ในความสงบ
น่าสนใจกับคำว่า Cess คือ การจัดเก็บเงินค่าธรรมเนียมการส่งยางออกนอกราชอาณาจักร ขณะนี้ก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 2 บาทต่อ กก. เงินเหล่านี้ ถูกนำกลับมาสร้างประโยชน์ในการพัฒนายางพาราทั้งระบบ
แต่ในระบบทุนนิยม ที่ใดต้องเสียภาษี ต้องเสียค่าธรรมเนียม ผู้ประกอบการผู้ซื้อผู้ขาย ที่ไร้คุณธรรมย่อมจะหลบเลี่ยงเป็นธรรมดา ถูกจับดำเนินคดี ให้เห็นเป็นจำนวนมาก
เรื่อง Cess ก็เช่นเดียวกัน ถึงขั้น กยท.ต้องตั้ง คณะทำงานร่วมเพื่อสืบหาข้อเท็จจริงในเรื่องการหลบเลี่ยงการจ่าย Cess ให้มีความชัดเจนและโปร่งใส ข้อมูลตรวจสอบได้ทั้งระบบ ทั้งส่งสัญญาณว่าจะว่าจ้างให้ภาคเอกชนช่วยจัดเก็บให้เพื่อยุติปัญหาที่เกิดขึ้น
ผมได้รับข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการเลี่ยง Cess ยาวเหยียดแต่จะย่อๆให้ฟัง จะเป็นความจริงมากน้อยแค่ไหนผมก็ไม่ได้ไปเห็นมากับตา
รูปแบบที่ 1 คือหนีดื้อๆ หนีออกไปทั้งคันรถ หรือทั้งลำเรือ
ถ้าเป็นภาคใต้ก็ใช้รถบรรทุก รถปิกอัพ ติดแท็งก์ใส่น้ำยางสดผสมแอมโมเนีย ดำดิน หรือล่องหน ออกไปประเทศเพื่อนบ้าน โดยไม่จ่าย Cess ทำเหมือนขบวนการน้ำมันเถื่อนจากเพื่อนบ้านที่ทะลักเข้าประเทศไทย มีบัง....เป็นนายหัวใหญ่
ส่วนภาคเหนือเป็นกระบวนการที่เกิดใหม่ไม่เกิน 10 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จะเป็นยางก้อนถ้วย ขนลำเลียงไปตามแม่น้ำโขงโดยทางเรือของประเทศเพื่อนบ้านส่งต่อไปยังจีน ซึ่งยางก้อนถ้วยนั้นเหม็น แม้ตามระเบียบผู้ส่งออกต้องจ่าย Cess แต่ยังไม่พบข้อมูลว่าเก็บได้มากน้อยแค่ไหน
รูปแบบที่ 2 คือหนีโดยระบบ
วิธีนี้คือการทำให้ข้อมูลที่เชื่อมโยงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สับสนจนตรวจสอบอะไรไม่ได้ หรือข้อมูลไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ซึ่งผมก็อธิบายยาก แต่บางรายก็มาขอคืน Cess อ้างว่าส่งออกไม่ครบตามจำนวนที่แจ้งไป
ก็มีรายงานว่า ตั้งแต่มีการเก็บค่า Cess ย้อนไป 30-40 ปีมาแล้ว แทบไม่เคยสามารถเรียกเก็บเงินเพิ่มได้เลย ประเมินความเสียหายแล้ว ปีละไม่ต่ำกว่า 2,000 ถึง 3,000 ล้านบาท โดยประเมินจากฐานข้อมูล อาทิ ตัวเลขการนำเข้าส่งออกต่างๆ
ที่สำคัญคือ ปัจจุบันมีการประเมินผลผลิตยางพาราอยู่ที่ 4,578,957 ตันต่อปี โดยประเมินจากพื้นที่ปลูกยาง 20,538,550 ล้านไร่ (ข้อมูลจากคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพข้อมูลด้านการเกษตร ณ วันที่ 26 กันยายน 2560) ซึ่งก็ใกล้เคียงกับตัวเลขการส่งออกยางพารา แต่ล่าสุด เมื่อปีที่แล้ว มีการใช้ดาวเทียมจิสด้ามาจับหาพื้นที่ปลูกยางพารา จึงพบพื้นที่ปลูกยางพาราเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 10 ล้านไร่ เพราะฉะนั้นจึงน่าจะมีน้ำยางเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 1 ล้านตันต่อปี แต่รายได้จาก Cess ยังเท่าเดิม
ก็ไม่รู้จะไปตำหนิใครเพราะเป็นเรื่องที่ลึกลับซับซ้อนและนานมาแล้ว
แต่ก็ต้องให้กำลังใจ กฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรฯ พลเอกฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข ประธาน กยท. และนายธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าฯกยท.รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องที่จะแก้ไขปัญหานี้ เพื่อคืนความเป็นธรรมให้แผ่นดิน รวมทั้งต้องเร่งทำให้ราคายางพาราเพิ่มสูงขึ้น ถ้าทำได้รัฐและเกษตรกรชาวสวนยางจะมีเงินในกระเป๋ามากกว่าเดิม
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนนอกอีกสมัย คงได้รับแรงหนุนจากชาวสวนยางอีกไม่น้อย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี