เอาอีกแล้ว ศูนย์กลางมาอีกแล้ว คราวนี้เป็นเรื่องศูนย์กลางอาหารทะเล ซึ่งเป็นเรื่องที่กล่าวขานกันเมื่อต้นสัปดาห์นี้ ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร และมีการนำเสนอข่าวว่ารัฐบาลมีแนวความคิดที่จะส่งเสริมพัฒนาให้จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดใกล้เคียงเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารทะเล
นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่มีการจุดประกายความคิดในทางสร้างสรรค์ เป็นความคิดที่สะท้อนถึงเจตนาในการพัฒนาประเทศชาติ และรับใช้ประชาชน
ฉากหลังของการรายงานข่าวดังกล่าวมีภาพเรื่องประมงล้นหลามตามลำแม่น้ำ ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาในภาคการประมงนั้นไม่เคยมีใครสนใจเหลียวแล และถูกทอดทิ้งให้ดิ้นรนทำมาหากินไปตามมีตามเกิดมิหนำซ้ำยังมีการออกกฎระเบียบจำนวนมากในการที่สร้างความเดือดร้อนยุ่งยากและปัญหาให้แก่ผู้ประกอบการ ทำกันราวกับว่าผู้ประกอบการประมงเป็นพวกมั่วสุมอยู่กับการกระทำความผิดมากราย
ทำกันถึงปานนั้นแล้ว ผู้ประกอบการประมงไทยก็ยังคงสร้างสรรค์พัฒนาจนทำให้กิจการประมงไทยเลื่องชื่อลือชาเป็นลำดับที่ 5 ของโลก และออกไปทำมาหากินในทุกมหาสมุทรน่านน้ำและท้องทะเลของโลก หลายแห่งก็ต้องไปติดต่อสัมปทาน หรือขออนุญาตทำประมงกันเอง และยังมีความก้าวหน้าถึงขั้นแปรรูปผลิตภัณฑ์กันในเรือประมงนั้น
นั้นเป็นความสำเร็จของภาคการประมงที่เกิดแต่สติปัญญาและน้ำพักน้ำแรงของผู้ประกอบการและประชาชนโดยแท้ แม้กระนั้นเมื่อนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ไปเยี่ยมเยือน และแสดงเจตนาที่จะส่งเสริมสนับสนุนกันถึงขนาดนั้น จึงเป็นที่ยินดีปรีดาทั่วหน้ากัน
ทว่าเจตนาที่ดีนั้นจะต้องบริบูรณ์ด้วยข้อเท็จจริง ความรู้ และสติปัญญาความคิดอ่านเฉพาะทาง ตลอดจนการแสวงหาคนดีมีฝีมือมาช่วยทำการด้วยความมานะบากบั่น การจึงจะสำเร็จตามปรารถนาได้ ดังนั้นเพื่อสนับสนุนนายกรัฐมนตรีในการทำการเรื่องนี้ให้สำเร็จ จึงจำต้องบอกกล่าวในเรื่องสำคัญอันจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ให้สมกับเจตจำนงนั้น
ประการแรก จะต้องทราบความจริงว่าจังหวัดสมุทรสาครเป็นหนึ่งใน 4-5 จังหวัดของประเทศไทยที่ทำการประมงทั้งในและนอกน่านน้ำประเทศไทย โดยยังมีอีกหลายจังหวัดในภาคใต้ที่มีกองเรือประมงขนาดใหญ่ทำการประมงทั่วน่านน้ำของโลกด้วย ดังนั้นการจะตั้งจังหวัดใดเป็นศูนย์กลางอาหารทะเลหรือศูนย์กลางการประมงของประเทศจึงพึงหารือร่วมกันกับผู้ประกอบการในจังหวัดเหล่านี้ แล้วประกาศตั้งเป็นศูนย์กลางประมงหลักของประเทศไทย ให้มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารและส่งเสริมสนับสนุนกิจการประมงของประเทศไทยในทุกมิติ
ประการที่สอง ในเรื่องอาหารทะเลนั้นต้องจัดเป็นประเภทอย่างน้อยสองประเภท คือประเภทที่ต้องไปล่าไปจับเอาที่นอกน่านน้ำประเทศไทย ซึ่งนับวันจะร่อยหรอน้อยลงทุกที กับอีกประเภทหนึ่งคืออาหารทะเลประเภทที่ต้องเพาะเลี้ยง ซึ่งกำลังจะเข้ามาแทนที่ในกิจการผลิตอาหารทะเลเลี้ยงคนโลก ซึ่งจำเป็นที่จะต้องทำนุบำรุง ส่งเสริมการวิจัย ศึกษาค้นคว้า และการเพาะเลี้ยงให้เป็นแบบอุตสาหกรรม
สำหรับประเภทที่ต้องเพาะเลี้ยงนั้น ยังสามารถแบ่งได้สามประเภทย่อย คือ
ประเภทที่หนึ่ง ซึ่งจะมีความสำคัญมากขึ้นทุกวัน คือการเพาะเลี้ยงในท้องทะเล โดยเฉพาะทะเลลึก ซึ่งต้องลงทุนสูง ต้องอาศัยความรู้ และวิชาการขั้นสูง ซึ่งขณะนี้หลายประเทศได้ลงมือทำการแล้ว เช่น การเพาะเลี้ยงปลาน้ำลึกในมหาสมุทร โดยใช้พื้นที่การเพาะเลี้ยงนับหมื่นไร่
ประเภทที่สอง เป็นการเพาะเลี้ยงชายฝั่ง คือ เพาะเลี้ยงตามชายฝั่งทะเล ซึ่งประเทศไทยของเราก็มีชายฝั่งทะเลยาวเหยียดหลายพันกิโลเมตรและพื้นที่จำนวนมากก็สามารถใช้เพาะเลี้ยงจำนวนมาก โดยเฉพาะการเพาะเลี้ยงหลากหลายประเภทในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ เช่น การเพาะเลี้ยงสารพัดปู สารพัดปลา สารพัดหอย ที่สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ภูเก็ต ระนอง เป็นต้น
ประเภทที่สาม คือ การเพาะเลี้ยงบนฝั่ง ซึ่งเพาะเลี้ยงได้สารพัด โดยเฉพาะปู ปลา กุ้ง เป็นแต่ว่าการเพาะเลี้ยงนั้นโดยทั่วไปยังคงเป็นไปตามยถากรรม
กิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำหรืออาหารทะเลนับวันจะมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น เพราะเมื่อประชากรโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทะลุหลัก 7,000 ล้านคน ไปสู่ที่หมาย 10,000 ล้านคน ปริมาณอาหารทะเลในธรรมชาติก็ไม่อาจจะสนองตอบความต้องการของมนุษย์ได้อีกต่อไป ความจำเป็นจึงก่อเกิดให้พัฒนาการเพาะเลี้ยงขึ้น และเนื่องจากแผ่นดินใหญ่ของโลกมีพื้นที่น้อยกว่าผืนน้ำอันกว้างใหญ่ไพศาลมาก ดังนั้นผืนน้ำทั่วทั้งโลกจึงต้องถูกแปรเป็นแหล่งผลิตอาหารทะเลสำหรับชาวโลกในอนาคตโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เหตุนี้จึงถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องให้ความสนใจค้นคว้าและเริ่มปฏิบัติการเพาะเลี้ยงอาหารทะเลในทะเล โดยเฉพาะในทะเลลึก และอาจจำเป็นต้องแสวงหาสิทธิประโยชน์ในการเพาะเลี้ยงในมหาสมุทรอันเป็นน่านน้ำสากล ซึ่งแน่นอนว่าจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ แต่จะชี้ขาดกันด้วยความรู้และนวัตกรรมในการเพาะเลี้ยงในแหล่งน้ำลึกของโลก
และเนื่องจากธรรมชาติของอาหารทะเลนั้นต้องอาศัยความใหม่สดหรืออาหารทะเลที่ยังมีชีวิต ดังนั้นการจัดวางระบบสำหรับการถนอมชีวิตในการขนส่งอาหารทะเลเพื่อให้ไปถึงที่หมายโดยมีชีวิตอยู่จึงเป็นความจำเป็นขั้นสูงที่จะต้องศึกษาเรียนรู้และต้องดำเนินการให้เร็วที่สุด
ในหลายกรณีก็ต้องรักษาความสดของอาหารทะเลเหล่านั้นไว้ โดยไม่ให้เจือปนด้วยสารเคมีหรือพิษร้ายใดๆ ซึ่งประการนี้โลกทุกวันนี้ต้องเรียนรู้จากความก้าวหน้าของประเทศญี่ปุ่น
และโลกอนาคตก็มีความจำเป็นที่จะต้องใช้มาตรการแปรรูปอาหารทะเลในหลากหลายรูปแบบในแหล่งที่ใกล้กับการผลิตมากที่สุด เพื่อดำรงความสดใหม่อย่างสมบูรณ์ในขณะที่ลงมือแปรรูปนั้น ซึ่งปัจจุบันนี้คนไทยเราก็ไม่แพ้ชาติอื่นใด เพราะเราสามารถตั้งโรงงานแปรรูปอาหารทะเลกันในเรื่องประมงขนาดใหญ่กันมานานแล้ว คงเหลือแต่การส่งเสริมสนับสนุนจากรัฐอย่างทั่วด้าน เพื่อให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันอยู่ในระดับต้นของโลกให้ได้
เมื่อพูดถึงเรื่องอาหารทะเล ก็จะต้องสรุปลงด้วยเรื่องของปูซึ่งเป็นอาหารทะเลยอดนิยมที่นิยมกันในประเทศและทั่วโลก แต่กำลังมีราคาแพงจนน่าใจหาย เพราะความขาดแคลนและคุณภาพที่ไกลออกจากธรรมชาติกำลังคุกคามกันอย่างหนักหน่วง
ปูไทยที่เลื่องชื่อลือชาและมีความอร่อย มีกลิ่นหอมเฉพาะที่กำลังขาดแคลนและมีราคาแพง ควรได้รับการส่งเสริมเพาะเลี้ยงอย่างเร่งด่วน ได้แก่
ปูแสมที่ใช้สำหรับดองกินกับส้มตำ หรือ ยำ หรือ หลน เกือบจะสูญพันธุ์หมดไปจากประเทศไทยแล้ว ปูประเภทนี้ในพื้นที่ใกล้เคียงก็กินกันเกือบเกลี้ยงหมดแล้ว จึงต้องไปหาในแดนไกลถึงแอฟริกา
ปูม้าไทยรสชาติหวาน หอม อร่อย จะเป็นเนื้อปูดีที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง ที่แกะเอากรรเชียงกระเป๋าบรรจุขายไปทั่วโลกกำลังขาดแคลนอย่างหนัก และราคาก็แพงขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
ปูทะเลหรือปูดำ ขณะนี้ไม่พอกินมานานแล้ว ที่เลี้ยงกันตามยถากรรมก็ไม่พอกินพอใช้ ต้องนำเข้าทั้งจากเวียดนาม พม่า และแอฟริกา แต่รสชาติสู้ปูบ้านดอนสุราษฎร์ธานีของประเทศไทยไม่ได้เลย จัดเป็นปูราคาแพงที่สุด ยกเว้นปูโปรโมชั่น คือปูที่รสชาติไม่เข้าท่าแต่ราคาสูงเพราะโปรโมททางการค้า
ปูทั้งสามชนิดนี้นี่แหละที่ควรเร่งการเพาะเลี้ยง เพาะเลี้ยงแล้วก็รวย สามารถเลี้ยงเป็นอุตสาหกรรมการเกษตรได้
แม้กระทั่งปูน้ำจืดคือปูนาที่ใกล้จะสูญพันธุ์เพราะสารพิษในนาแล้ว ที่มีการเพาะเลี้ยงกันอยู่บ้าง ก็ไม่พอกินพอใช้
เหล่านี้คือเรื่องราวที่จำเป็นต้องพิจารณาประกอบเข้าด้วยกันก็จะทำให้ท่านนายกรัฐมนตรีมีชีวิตชีวาและปรากฏเป็นจริงได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี