ขณะที่รัฐบาลคสช. กำลังคิดว่าจะมาจัดระเบียบนักการเมืองผ่านกฎหมายที่กำลังวุ่นวายตอนนี้คือ พ.ร.ป. ว่าด้วยที่มาของ สส. และ สว. ซึ่งอาจจะมีผลต่อการเลื่อนเลือกตั้งต่อไป อย่างไรก็ตาม หากถือว่าเป็นการปฏิรูปพรรคการเมือง นักการเมือง ประชาชนก็ขอให้กฎหมายใหม่นั้นทำให้ได้นักการเมืองที่ดีเสียที หากแต่ปัญหาในบ้านเมืองทุกวันนี้ที่ไม่มีนักการเมืองแล้ว น้ำลดหมดสิ้นทำให้เห็นตอที่แท้จริงว่าส่วนหนึ่งของปัญหาประเทศยังมีอยู่ เพราะวันที่ข้าราชการขึ้นมาเป็นใหญ่ตลอดช่วง 3-4 ปีมานี้จึงทำให้ได้รู้ว่า การที่ประเทศชาติที่ล้าหลัง กระบวนยุติธรรมที่ไม่เป็นธรรมอย่างเสมอภาค สาเหตุไม่น้อยมาจากระบบราชการที่มีปัญหาของประเทศ ตั้งแต่กฎหมายที่ล้าสมัย ตลอดจนความคร่ำครึขององค์กร แต่ที่หนักกว่านั้นคือผู้ใช้กฎหมายหรือข้าราชการ ที่รู้ทั้งรู้ว่าจุดอ่อนกฎหมายคืออะไร? ปัญหาคืออะไร? กลับทำเป็นแกล้งไม่รู้ ทอดทิ้งความลำบากของประชาชน ไว้กับช่องว่างของกฎหมาย หรือบางครั้งสบใช้ช่องของกฎหมาย เพื่อประโยชน์ส่วนตัว ในขณะที่วิกฤติศรัทธาของประชาชนทุกวันนี้ก็เพราะด่านแรกของกระบวนการยุติธรรมที่หลายคนพูดว่าประหนึ่งฝากชีวิตไว้กับโจรหรือไม่?
ต้องขอชื่นชมนายกฯที่พยายามจะให้เมืองไทยเป็นเมืองดิจิทัล 4.0 และพยายามที่จะนำเทคโนโลยีมาช่วยในบริหารราชการแผ่นดิน ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 มี.ค.ที่ผ่านมา นายกฯเห็นชอบตั้ง 4 อนุกรรมการใหม่ โดยหลักใหญ่ใจความคือ ให้การทำงานบริหารของราชการเชื่อมโยงต่อกันทั้งหมดและลดการเรียกสำเนาเอกสารจากประชาชนที่มาติดต่อกับหน่วยงานของรัฐ แม้เรื่องนี้จะช้าไปบ้างจนเกือบจะเป็นช่วงสุดท้ายของรัฐบาลคสช. แต่ก็ยังดีที่ได้ทำ แต่อย่าหลงลืมประเด็นสำคัญของการปฏิรูปราชการ ที่ไม่ใช่แค่เรื่องการทำให้เป็นดิจิทัลนั้น แต่เป็นเรื่องของกฎหมาย คน และระบบที่ยังล้าหลัง รวมไปถึงการปฏิรูปตำรวจที่รัฐบาลสัญญาไว้ ตั้งแต่ปีแรกหลังรัฐประหาร ซึ่งวันนี้นอกจากจะไม่เดินหน้าแล้ว ศรัทธาของประชาชนจะยิ่งลดลงไปทุกวัน
เรื่องความผิดพลาดและปัญหาของระบบราชการมีมาโดย อย่างล่าสุดเรื่องการแพร่ระบาดของโรคพิษสุนัขบ้าเป็นจำนวนมากเหมือนถอยหลังลงคลอง ทั้งที่ทุกฝ่ายรู้อยู่แล้วว่าการแพร่ระบาดของโรคเกิดจากอะไร การป้องกันทำด้วยวิธีใด แต่การยึดติดของระบบราชการทำให้เกิดปัญหา โดยจากเดิมประเทศไทยมี พ.ร.บ.โรคพิษสุนัขบ้า พ.ศ.2535 กำหนดให้กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีอำนาจหน้าที่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งปฏิบัติเรื่อยมาจนกระทั่งรัฐธรรมนูญพ.ศ.2540 ได้กระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นมากขึ้น จึงมีผลทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ เทศบาล อบต. อบจ. และกทม.ต่างตั้งงบประมาณมาจัดการฉีดวัคซีนให้กับสุนัขและแมวในพื้นที่ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีกับประชาชนแต่มีประเด็นว่า สตง. ได้ออกมาทักท้วงว่า การฉีดยาป้องกันพิษสุนัขจรจัด เป็นอำนาจของกรมปศุสัตว์ไม่ใช่อำนาจของส่วนท้องถิ่นต่างๆ ตามพ.ร.บ.โรคพิษสุนัขบ้าใช่หรือไม่? ทำให้องค์กรท้องถิ่น ต้องยกเลิกการฉีดยาป้องกันพิษสุนัขบ้าทันที เพราะเกรงว่าจะถูก สตง. ลงโทษในเรื่องการใช้งบประมาณผิดวัตถุประสงค์ขณะที่หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องกับโรคนี้ ต่างรู้ถึงพิษภัย ปัญหา และการป้องกันของโรคนี้ดีแต่ก็ไม่มีใครจัดการอะไร? จนมีคนตั้งคำถามว่า นี่คือสาเหตุสำคัญของการแพร่ระบาดโรคพิษสุนัขบ้าในปีนี้ใช่หรือไม่? ถ้าใช่จะมีใครออกมาแสดงความรับผิดชอบอะไรหรือไม่? หรือจะใช้โอกาสนี้ในการจัดการกระบวนการทั้งหมด ตั้งแต่กฎหมาย การปฏิบัติ ตลอดจนจิตสำนึกต่อการดูแลพี่น้องประชาชน
อีกลักษณะหนึ่งของระบบราชการที่มีปัญหาคือ การแปลงนโยบายสู่ภาคปฏิบัติ ที่นอกจากหลายครั้งไม่ตรงต่อความต้องการที่แท้จริงของประชาชนที่ต่างพื้นที่กันย่อมมีความต้องการ และปัญหาต่างกัน ในบางกรณี ผู้ปฏิบัติงานยังสบช่องในการบริหารนโยบายและงบประมาณไปในทางเอื้อประโยชน์ตัวเอง โดยเฉพาะต่อประชาชนที่มีรายได้น้อยหรือไม่มีทางเลือก อย่างกรณีทุจริตเงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อย กลุ่มผู้ติดเชื้อเอดส์และกลุ่มส่งเสริมอาชีพ ที่นักศึกษามหาวิทยาลัยมหาสารคามออกมาเปิดเผยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกระบวนการทุจริตและได้มีการทำการร้องเรียนต่อ คสช.ว่า ขณะฝึกงานที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดขอนแก่น พบการปลอมเอกสารและลงลายมือชื่อในใบเสร็จรับเงินโดยอาศัยใส่ชื่อคนที่เดือดร้อน แต่ผู้ที่มีรายชื่อจริงๆ กลับไม่ได้รับเงิน ซึ่งไม่รู้ว่าเรื่องเกิดขึ้นเมื่อไหร่? เกิดขึ้นมากี่ครั้งแล้ว? แต่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งกระบวนการกลับไม่เคยพบ หรือนิ่งเฉยมาตลอดหรือ? จนทำให้คนนอกระบบอย่างนักศึกษาฝึกงานกลับมาเป็นคนแจ้งเรื่องนี้เอง
ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. ได้ตรวจสอบพบว่ายังมีอีกกว่า 44 จังหวัดที่เข้าข่ายการทุจริตดังกล่าว รวมมูลค่าความเสียหายทั้งหมดกว่า 79 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการทุจริตที่แม้มูลค่าจะไม่มาก แต่ที่น่าหดหู่ใจคือทำกันทั้งระบบ ตั้งแต่ข้าราชการระดับล่างจนถึงระดับสูงใช่หรือไม่? เพราะหลายข่าวก็ยังพบว่ามีการกระทำความผิดเช่นนี้มาแล้วหลายปี และยังมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้น ในลักษณะใกล้เคียงกันในหน่วยงานอื่นๆ อีกหรือไม่? ที่น่าสนใจคือ กระบวนการตรวจสอบงบประมาณของประเทศไทยมีกระบวนการที่รัดกุมตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีใครตรวจสอบพบ หรือทั้งหมดคือ การร่วมมือกัน? ล่าสุดมีการตรวจสอบพบการทุจริตเงินในกองทุนเสมาพัฒนาชีวิตของกระทรวงศึกษาธิการ ที่มีข้าราชการ 5 คนเข้าไปเกี่ยวข้องโดยโอนเงินจากกองทุนเข้าบัญชีของญาติตัวเอง มูลค่ากว่า 88 ล้านบาท ซึ่งหวังว่าการแก้ไขปัญหาคงไม่จบที่สองกรณีนี้ คสช.ควรใช้โอกาสนี้ในการจัดการปฏิรูประบบราชการ
อีกเรื่องที่ถือเป็นปัญหาคลาสสิกของระบบราชการ คือการใช้อำนาจในมือเลือกปฏิบัติอันเนื่องมาจากความเชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย ที่สบช่องรู้ดี ถึงช่องว่างของอำนาจในหน่วยงานตัวเอง การใช้ดุลยพินิจการเลือกอนุมัติ ไม่อนุมัติ หรือชะลอเวลา สามารถกระทำได้ภายใต้กฎหมายไทย แต่ส่งผลต่อผู้กระทำผิดและผู้ได้รับผลกระทบที่แตกต่างกัน แล้วแต่การใช้อำนาจดุลยพินิจนั้นๆ ของข้าราชการไทย อย่างกรณี ป้าทุบรถในพื้นที่เขตประเวศ นำมาสู่การตรวจสอบการจัดตั้งตลาดโดยที่อำนาจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคืออำนาจของกทม.และสาธารณสุข ปล่อยให้มีการดำเนินการในเรื่องนี้ในขณะที่กระบวนการจัดตั้งตลาดยังไม่เรียบร้อย หรือบางแห่งก็ยังไม่มีการจดจัดตั้งด้วยซ้ำ หรือบางแห่งอยู่ในกระบวนการคดีทางกฎหมาย การไม่รู้ไม่เห็นของข้าราชการกทม.ก็เป็นเรื่องหนึ่ง ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความสะอาดก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ประเด็นคือผู้ได้รับความเดือดร้อนได้ทำการร้องเรียนต่อกทม.ให้ทำการรับรู้ถึงปัญหาแล้ว และกลายเป็นประเด็นความขัดแย้งของประชาชนสองฝ่ายแล้ว สุดท้ายอยู่ที่ดุลยพินิจของผู้มีอำนาจอีกเช่นเดิม นั่นคือข้าราชการที่จะเลือกปฏิบัติแบบใดให้คลี่คลายปัญหาหรือปล่อยให้ปัญหาคาราคาซังไป จนสุดท้ายจึงกลายเป็นความรุนแรงจากการปะทะกันของประชาชน และแม้เรื่องจะผ่านไปแล้วแต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นยังคงอยู่ ทั้งในส่วนของคดีของประชาชนที่กระทำต่อรถ และปัญหาของพ่อค้า แม่ค้า ที่ไม่มีพื้นที่ขายอันเนื่องจากปล่อยปละละเลย ให้ดำเนินการมาช้านาน ถามว่าปัญหาลักษณะเดียวกันยังมีเกิดขึ้นที่อื่นอีกหรือไม่?หรือจะปล่อยให้เกิดเรื่องทีก็มาสะสางกันที? อะไรอยู่ภายใต้เงื่อนไขการจัดการหรือไม่จัดการ?
แต่ปัญหาที่นับว่าหนักที่สุด นั่นคือ วิกฤติศรัทธาของประชาชนต่อผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ จนหลายคนถึงกับเอ่ยปากว่า ยุคนี้เหมือนฝากบ้านไว้กับโจร อะไรที่ทำให้เกิดวิกฤติศรัทธาเช่นนั้น กฎหมาย โครงสร้างระบบตำรวจ หรือตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจ และตัววัฒนธรรมองค์กรตำรวจเอง? อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าประชาชนมีความหวังตั้งแต่วันแรกที่คสช.เข้ามาทำงาน เพราะพล.อ.ประยุทธ์รู้ดีแก่ใจว่านี่คือ ปัญหาที่คาใจประชาชนและคาดหวังต่อรัฐบาลนี้ให้แก้ปัญหาเรื่องนี้เป็นอันดับ 1 ในตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เราจะพบกรณีที่ทำให้ประชาชนส่ายหน้าไม่น้อย ว่ากันตั้งแต่บุกจับบ่อนสถานบันเทิง ในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ที่ถ้าครั้งไหนมีทหารไปจึงจะจัดการได้ ทั้งที่ตำรวจอยู่ในพื้นที่แท้ๆ กลับไม่รู้ไม่เห็นหรือถ้าตำรวจจับก็มักจะไม่สามารถจับตัวผู้กระทำความผิดได้ นำมาซึ่งคำถามของประชาชนถึงความเกี่ยวข้องของตำรวจกับวงจรธุรกิจสีเทาในจังหวัดต่างๆ การแก้ไขที่ประชาชนจับทางได้ คือการสั่งย้าย และในบางครั้งก็จะพบการย้ายกลับมาที่เดิมใช่หรือไม่? หรือในบางกรณีที่แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย กลับพบความน่าสงสัยที่เกี่ยวข้องกับตำรวจอย่าง เรื่องกรณีหวย 30 ล้าน ที่มีประเด็นว่ามีระดับผู้การฯจังหวัดเข้าไปเกี่ยวข้องเปลี่ยนแปลงสำนวนคดีหรือไม่? แม้ที่สุดแล้วการสอบสวนโดยส่วนกลางจะคืนความยุติธรรมบางส่วนได้ แต่สังคมยังคงสงสัยต่อการกระทำความผิดของตำรวจที่เกี่ยวข้อง? ตลอดจนวัฒนธรรมการปกป้องตำรวจด้วยกันเอง อย่างกรณีการให้สัมภาษณ์ทำนองว่าเพียงแต่ขาดวุฒิภาวะ ขาดประสบการณ์ในการทำคดีเท่านั้น! เรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องหวย แต่กลายเป็นเรื่องของการขาดศรัทธาของประชาชนต่อสถาบันตำรวจ? หรืออย่างในอีกหลายกรณีที่ประชาชนตั้งคำถามต่อการเลือกปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐต่อคนจน และคนรวยที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะการเลือกใช้กฎหมายและอำนาจในมือ ให้เป็นไปในทิศทางที่เป็นบวกและเป็นลบต่อใคร? มักพบข้อสงสัยในการใช้ดุลยพินิจต่อคนรวยและคนจนต่างกันหรือไม่? นี่คือความคิดของประชาชนต่อตำรวจในยุคปัจจุบัน
ถึงเวลานี้นายกฯประกาศแล้วว่าจะเลือกตั้งภายในก.พ. 2562 ช่วงนี้จึงนับเป็นการนับถอยหลังการหมดอำนาจลงของรัฐบาลคสช. การจัดการความสงบเรียบร้อยก็ดี การแก้ปัญหาปากท้อง เศรษฐกิจของประชาชนก็ดี ถือว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ และทุกฝ่ายก็เห็นด้วย ในขณะที่การปฏิรูปประเทศตามที่เคยสัญญากับประชาชน และตามที่ประชาชนยอมหลับหูหลับตาให้มีการปกครองในลักษณะพิเศษชั่วคราวตลอด 3 ปีมานี้ ก็เพื่อหวังว่าอย่างน้อยประเทศได้ปฏิรูปจริง โดยเฉพาะการปฏิรูปราชการและการปฏิรูปตำรวจที่ไม่สามารถทำได้ในการปกครองแบบปกติ จำเป็นต้องอาศัยอำนาจพิเศษจากรัฐบาลทหาร เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ความหวังของประชาชนต่อพล.อ.ประยุทธ์เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ก็ยังหวังอยู่ในตอนนี้ แต่กลับไม่พบการปฏิรูปที่แท้จริงในปัญหาที่ผ่านมา ทำให้ความคาดหวังของประชาชนที่มีมากกว่ารัฐบาลปกติอาจกลายเป็นอคติในช่วงท้ายรัฐบาลนี้ได้ ยังเหลือเวลาในการจัดการอีกอย่างน้อย 8 เดือน ที่เชื่อว่ากระบวนการผ่านกฎหมายของรัฐบาลนี้สามารถทำได้เร็วกว่ารัฐบาลปกติ ซึ่งยังมีกลไกอีกหลายอย่างที่ต้องการใช้อำนาจรัฐบาลและสนช. ในการออกกฎหมายใหม่และแก้กฎหมายเดิม เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง โดยเฉพาะโครงสร้างอำนาจตำรวจที่ประชาชนคาดหวังให้กระจายไปสู่ท้องถิ่น ตลอดจนการปฏิรูปข้าราชการอย่างแท้จริง ที่ไม่ใช่เพียงการเสียบปลั๊กต่ออินเตอร์เนตแล้วเป็น 4.0 แต่ต้องปฏิรูปความคิดและระบบราชการด้วย...
“...หากแม้นจิตใจคนผู้หนึ่งสกปรกโสมม ต่อให้ใช้สบู่ซักฟอกวันละสิบครั้ง ยังไม่สะอาดหมดจด...”
คำคมโกวเล้งจากเรื่องวีรบุรุษสำราญ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี