ในช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์การเมืองไทย ระบอบทักษิณนั้นใหญ่ค้ำฟ้า สามารถแพร่ขยายอิทธิพลเข้าไปในทุกอณูของสังคมไทย จัดได้ว่าเกือบจะยึดครองประเทศไทยให้เป็นของตนได้เบ็ดเสร็จ ทำตนเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด เด็ดขาด กุมกำกับชะตาชีวิตของรัฐสยาม
แต่ถึงกระนั้นก็ตามก็ไม่สามารถไปถึงเป้าหมายในที่สุด เพราะมุ่งเพียงแต่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ผสมกับการกระทำผิดหลักกฎหมายและความชอบธรรม
ซึ่งการกระทำเลวร้ายเหล่านั้นได้ผลักดันให้เกิดการรวมตัวของฝูงชนที่ไม่กลัวน้ำร้อน ซึ่งต่างก็รักความถูกต้องชอบธรรม รักราชอาณาจักรไทย ออกมาต่อต้าน ต่อกร ในการโต้กลับโดยระหว่างนั้นระบอบทักษิณก็ยืนกระต่ายขาเดียวอ้างไปต่างๆ นานา ไม่ว่าจะเป็น
- ด้วยการอ้างความชอบธรรมว่าตนเองมาจากเสียงประชาชน เป็นเสียงข้างมาก เป็นผู้ครองอำนาจใหญ่สุดเหนือสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น
- ด้วยการมอมเมาประชาชนด้วยนโยบายและมาตรการประชานิยม เสมือนว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่มาจากหยาดเหงื่อ น้ำพักน้ำแรงของประชาชนนั้น พวกตนเท่านั้นมีสิทธิ์ที่จะนำไปใช้จ่ายตามอำเภอใจ เป็นเสมือนเงินส่วนตัว
- ด้วยการเสริมสร้างระบบอุปถัมภ์และเครือข่ายอำนาจมืด ด้วยการใช้กลไกรัฐเป็นเครื่องมือ สร้างฐานเสียงและอิทธิพล
- ด้วยการใช้เสียงข้างมากในรัฐสภาเป็นเครื่องมือแก้ไขกฎหมาย และออกกฎหมายเพื่ออำนวยประโยชน์เข้าตน
- ด้วยการจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธ และกองกำลังอิงศาสนา เพื่อคุกคามผู้เห็นต่าง เป็นการเสริมสร้างอาณาจักรแห่งความกลัว โดยมีหน่วยงานความมั่นคงรัฐ ชักใยและเป็นแนวร่วมด้วย
แต่ในที่สุด ไม่ว่าจะอ้างอะไร หรือใช้กำลังเพื่อกวาดล้าง ก็ไม่สามารถกำจัดผู้เห็นต่าง และสถาบันชาติให้หมดสิ้นได้ อีกทั้งการใช้อำนาจบาตรใหญ่แบบไร้ความชอบธรรม ก็ไม่สามารถโน้มน้าว พลังเงียบ หรือผู้คนที่ไม่ประสงค์แสดงบทบาททางการเมืองให้คล้อยตามไปด้วย เท่ากับว่าผู้คนส่วนใหญ่ มิได้เอาด้วย หรือโอนอ่อน ยินยอม ไปกับระบอบทักษิณ
การกินรวบประเทศไทยจึงไปไม่ถึงดวงดาว แล้วก็เพลี่ยงพล้ำต่อความถูกต้องชอบธรรม ส่งผลให้ผู้นำในขณะนั้นต้องระหกระเหินไปอยู่ต่างแดน
หลังจากนั้น บรรดาลูกหาบ ข้าทาส ลิ่วล้อ ขุนพลอยพยัก ก็ยังคงหวังพึ่งพาผู้นำและระบอบ ว่าจะช่วยให้ตนมีบทบาทในรัฐสภา หรือนอกรัฐสภา แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
บัดนี้ กฎการเลือกตั้งเริ่มก่อตัว เริ่มต้นด้วยการจดทะเบียนพรรคใหม่ๆ และตามด้วยการทบทวนจำนวนสมาชิกของพรรคเก่าๆ และการกำหนดวัน-เวลาเลือกตั้งที่เคยเลือนราง ก็ดูจะชัดเจนขึ้น
ก็คาดเดากันว่ากลุ่มการเมืองในอนาคตก็คงจะมี 3 กลุ่มหลักๆ
1. กลุ่มทหารการเมืองนำพา
2. กลุ่มไม่เอาทหาร แต่ยึดระบอบทักษิณ
3. กลุ่มไม่เอาทหาร และไม่เอาระบอบทักษิณ
การเมืองไทยในรอบหนึ่งโหลปีโดยประมาณก็กำลังเปลี่ยนจากการต่อกรกลุ่มข้อ 2 และข้อ 3 มาเป็นการเมือง 3 เส้า ทั้งนี้กลุ่มทหารการเมืองดูจะมีแต้มต่อ หรือมีภาษีกว่า 2 กลุ่มหลัง ก็เพราะมีกฎหมายรัฐธรรมนูญและคำสั่ง คสช. ที่เขียนเอง เออเอง และใช้เอง เป็นเครื่องมือ เป็นกฎเหล็ก แถมด้วยกุมสภาสูง หรือวุฒิสภา ไว้ร้อยเปอร์เซ็นต์
ก็มีคำถามว่า แล้วกลุ่มที่ 2 และกลุ่มที่ 3 จะร่วมมือกันได้หรือไม่เพื่อกันกลุ่มที่ 1 เพราะต่างอ้างความเป็นพรรคที่มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยกัน แต่ก็มีความเป็นไปได้ โดยมีเงื่อนไขว่า กลุ่มที่ 2 ต้องตัดตัวเองออกจากระบอบทักษิณ ซึ่งก็หมายความว่า ระบอบทักษิณนั้นเป็นตัวปัญหาความก้าวหน้าประชาธิปไตย และยังอำนวยให้ฝ่ายทหารการเมืองได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตการเมืองของไทยอย่างโดดเด่น
สรุปแล้ว สังคมประชาธิปไตยของไทยจะก้าวหน้าไปได้ ก็ต้องข้ามระบอบทักษิณ และเมื่อข้ามได้แล้วก็จะเป็นการปิดช่องทางมิให้ทหารเข้ามาเล่นการเมือง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี