กรณีอื้อฉาวเกี่ยวกับภริยานายกฯ ญี่ปุ่น เกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินของรัฐ ว่าพัวพันกับผลประโยชน์ส่วนตัวของภริยานายกฯ ด้วยหรือไม่? ทำให้นึกถึงคดีความต่างๆ ของอดีตนายกรัฐมนตรีไทย
1. นายชินโสะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กำลังถูกกดดันให้แสดงความรับผิดชอบทางการเมือง
สืบเนื่องจากกรณีที่รัฐบาลขายที่ดินให้กับโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ในราคาต่ำกว่าการประเมิน โดยมีชื่อของนางอากิเอะ อาเบะ ภรรยาของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเข้ามาเกี่ยวข้อง
อันที่จริง เรื่องอื้อฉาวออกมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ทว่ากลับมาอื้ออึงอีกครั้งในขณะนี้ เพราะกระทรวงการคลังญี่ปุ่นเพิ่งออกแถลงการณ์ยอมรับว่า ในการดำเนินการดังกล่าว ทางกระทรวงได้เปลี่ยนแปลงเนื้อหาในเอกสารที่ดินของรัฐซึ่งขายให้กับโรงเรียนในราคาต่ำกว่าราคาประเมินนั้น อันส่อเจตนาปกปิดชื่อของภริยานายกฯ อาเบะ
โดยสำเนาของเอกสารที่กระทรวงการคลังเผยแพร่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาพบว่าข้อความที่อ้างถึงนายอาเบะ, ภริยา และนายอาโสะ ถูกลบออกจากเอกสารของกระทรวงเกี่ยวกับการขายที่ดินดังกล่าว
เรื่องของเรื่อง คือ นายโมริโตโม กาคุเอ็น ผู้ประกอบการโรงเรียนเอกชนมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนางอากิเอะ อาเบะ ภริยาของนายชินโสะ อาเบะ นายกรัฐมนตรี ได้ซื้อที่ดินขนาด 8,770 ตารางเมตร ในเมืองโตโยนากะ จังหวัดโอซาก้า ในราคา 134 ล้านเยน (1.18 ล้านดอลลาร์) ซึ่งคิดเป็นมูลค่าเพียง 14% ของราคาประเมินที่ดินแปลงดังกล่าว เพื่อเตรียมไว้สำหรับสร้างโรงเรียนประถมแห่งใหม่ อันมีนางอากิเอะ อาเบะ เป็นผู้บริหารกิตติมศักดิ์
แม้ต่อมา นางอากิเอะ อาเบะ ภริยานายกฯ ได้ลาออกจากตำแหน่งกิตติมศักดิ์ไปแล้ว แต่ก็เป็นภายหลังจากประเด็นอื้อฉาวแดงออกมาเสียก่อน
ล่าสุด นายกฯ อาเบะ ยังคงยืนยันว่า เขาและภริยาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อตกลงซื้อขายที่ดินราคาถูกพิเศษ
2. อย่างแรกที่นึกถึง คือ กรณีที่ดินรัชดา
ทักษิณ ขณะนั้นเป็นนายกรัฐมนตรี ยินยอมพร้อมใจให้ภริยาเข้ามาซื้อที่ดินของรัฐ ฝ่าฝืนกฎหมาย ป.ป.ช.
ทักษิณมีความผิด แต่เมียไม่มีความผิด เพราะเมียไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐที่จะต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย ป.ป.ช.
ทักษิณผิด เพราะเป็นนายกฯ ที่กระทำผิดกฎหมาย ป.ป.ช. โดยไปรู้เห็นเป็นใจให้คู่สมรสของตนเข้ามาทำสัญญาซื้อที่ดินของหน่วยงานของรัฐที่อยู่ภายใต้อำนาจการกำกับดูแลของตนเอง
เป็นการกระทำที่เป็นการขัดกันของประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ส่วนรวม ต้องห้ามตามกฎหมาย ป.ป.ช. ซึ่งในคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ บางตอน
ระบุว่า
“...จำเลยที่ 1 (ทักษิณ) เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้มีอำนาจในการกำกับดูแลกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นคู่สมรสของจำเลยที่ 1 การซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 2 กับกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินจึงเป็นเรื่องผลประโยชน์ส่วนบุคคลขัดแย้งผลประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งต้องห้ามมิให้กระทำ
จำเลยที่ 1 (ทักษิณ) เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2552 มาตรา 100(1) ต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 122 วรรคหนึ่ง...”
นอกจากนี้ ตอนขายให้ภริยาทักษิณนั้น มีข้อพิรุธ ข้อครหา มากมายหลายประเด็นเช่น เหตุใดเมียทักษิณจึงซื้อได้ไปในราคาถูกกว่าราคาขั้นต่ำที่เคยประกาศในการเปิดประมูลครั้งแรก? เหตุใดการประมูลจึงกำหนดให้ผู้เข้าประมูลต้องวางมัดจำสูงถึง 100 ล้านบาท เกินกว่าระเบียบราชการ จนทำให้มีผู้เข้าแข่งขันน้อยราย?
แถมหลังจากที่เมียทักษิณซื้อที่ดินของรัฐไปแล้ว ปรากฏว่า มีการใช้อำนาจรัฐยกเลิกข้อจำกัดเรื่องความสูงอาคารในการก่อสร้างบนที่ดินแปลงดังกล่าว ทำให้ราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้น โดยยกเลิกข้อห้ามมิให้สร้างตึกสูงไม่เกิน 5 ชั้น หรือ 23 เมตรซึ่งเป็นข้อจำกัดที่มีอยู่ในช่วงประมูล อันเป็นเหตุให้มีคนมาเสนอราคาน้อยราย ประเมินมูลค่าที่ดินต่ำ แต่พอเมียทักษิณได้เป็นเจ้าของเท่านั้น ก็มีการยกเลิกข้อจำกัดดังกล่าว จนทำให้มูลค่าที่ดินพุ่งสูงขึ้นทันที
ตอนนั้น คุณหญิงพจมาน ในฐานะภริยานายกฯ ซื้อไปในราคาไม่ถึง 800 ล้านบาท
ปรากฏว่า หลังจากนั้นไม่กี่ปี กองทุนฟื้นฟูฯ ได้ประมูลขายที่ดินรัชดาฯ(แปลงเดียวกัน) บริษัทที่ผู้ชนะการประมูล คือ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)เสนอราคาประมาณ 1,800 ล้านบาท
พูดง่ายๆ ว่า หน่วยงานรัฐสามารถขายที่ดินได้ราคาสูงกว่าเดิมกว่า 1,000 ล้านบาท
ขายเลหลังที่ดินรัชดาฯ ได้ราคาดีกว่าขายให้ภริยาทักษิณ
3. ปรากฏว่า บรรดาลิ่วล้อทักษิณ พยายามบิดเบือนการพิพากษาคดีที่ดินรัชดา
อ้างว่า ทักษิณถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง ทั้งๆ ที่ กฎหมายที่ใช้ตัดสินในคดีที่ดินรัชดาฯ ไม่ใช่กฎหมายเผด็จการ แต่เป็นกฎหมาย ป.ป.ช. ที่มีมาตั้งแต่ก่อนทักษิณจะเข้ามาเป็นนายกฯ
หลักฐานต่างๆ ที่ใช้ในคดี ล้วนแต่เป็นข้อเท็จจริง ไม่มีหลักฐานปลอมหรือการใส่ร้ายป้ายสีใดๆ เลย โดยทุกอย่างมีเอกสารอ้างอิงชัดแจ้ง ถูกต้องทั้งหมด
ยิ่งกว่านั้น ทักษิณยังได้เข้ามาต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมอย่างเต็มที่ ในช่วงที่รัฐบาลหุ่นเชิดครองอำนาจอยู่ด้วยซ้ำ ทุกประเด็นใดที่พวกเขาอ้างว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญก็ได้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยชี้ขาดไปจนหมดสิ้นแล้วโดยที่ศาลยุติธรรมก็ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ไม่ยอมถูกแทรกแซง
ใกล้ถึงวันพิพากษา ทักษิณดันหนีออกนอกประเทศไปเอง
แถมยังปรากฏตามมาว่า ทนายของทักษิณในคดีนี้ถูกจับได้ว่าเอาเงิน 2 ล้าน ใส่ถุงขนมมาเสนอให้เจ้าหน้าที่ศาล กระทั่งถูกสั่งจำคุกฐานละเมิดอำนาจศาลด้วยซ้ำ
งานนี้ หากจะมีฝ่ายที่พยายามแทรกแซงอำนาจศาล ก็น่าจะเป็นฝ่ายทักษิณนั่นเอง
4. นอกจากคดีที่ดินรัชดา ยังมีคดีอีกหลายคดีที่ถูกบิดเบือนโดยลิ่วล้อของระบอบทักษิณ อ้างว่าเป็นเรื่องกลั่นแกล้งทางการเมือง บางช่วงถึงขนาดเสนอให้ล้มล้างคดีเหล่านั้นให้หมดก็มี
เป็นแนวทางข้อเสนอที่สร้างความวุ่นวายในบ้านเมืองมาตลอดทศวรรษก็ว่าได้
โดยเฉพาะเมื่อพรรคการเมืองที่เป็นขี้ข้าของทักษิณได้อำนาจรัฐ ก็มักพยายามผลักดันแนวทางดังกล่าว
เกิดความวุ่นวายไม่รู้จบ นั่นก็เพราะคนคนเดียว ยังไม่ได้รับผลประโยชน์ส่วนตัวตามที่เขาต้องการ
ทั้งๆ ที่ คดีเหล่านั้น ทักษิณจำนนด้วยหลักฐานข้อเท็จจริงมัดแน่นหนาดิ้นไม่หลุด!
เอาง่ายๆ จนถึงวันนี้ ไม่เคยหาหลักฐานข้อเท็จจริงมาหักล้างได้เลย ในประเด็นที่ว่า ยุคทักษิณมีการใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจในเครือชินคอร์ป หลายครั้ง หลายกรณี เช่น
การแก้ไขสัญญาสัมปทาน กระทบส่วนแบ่งรายได้ที่รัฐควรจะได้รับ ทำให้บริษัทเอไอเอสได้รับผลประโยชน์เกือบแสนล้าน
การแก้ไขสัญญาเพื่อให้บริษัทเอไอเอสเข้าไปใช้เครือข่ายร่วมหรือโรมมิ่ง ทำให้เอไอเอสได้รับผลประโยชน์โดยตรง ไม่น้อยกว่า 18,000 ล้านบาท
การใช้อำนาจแปลงค่าสัมปทานโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิต ทำให้บริษัทเอไอเอสนำส่วนแบ่งรายได้ที่ต้องจ่ายให้รัฐอยู่แล้วมาหักเป็นภาษีสรรพสามิตได้ ทำให้ได้เปรียบรายใหม่ที่ไม่มีค่าสัมปทานให้หักจ่ายภาษี
การให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ เอ็กซิมแบงก์ อนุมัติเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุนแก่รัฐบาลทหารพม่า 4,000 ล้านบาท โดยมีบริษัทชินแซทเทลไลท์ได้รับผลประโยชน์
การเอื้อประโยชน์แก่กิจการดาวเทียมหลายกรณี ไม่ว่าจะเป็นการไม่ปฏิบัติตามสัญญา การไม่เปิดประมูลกิจการดาวเทียมไอพีสตาร์ ฯลฯ
กรณีเหล่านี้ ไม่เคยมีการหักล้างด้วยข้อเท็จจริงจากฝ่ายทักษิณเลย
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี