เรียน คุณวิภาวดี หลักสี่ ที่นับถือ
พรรคการเมืองใหม่ให้อะไรใหม่ๆ กับการเมืองของประเทศไทยบ้าง
ปริมาณพรรคการเมืองประเทศไทยดูจะมากจนติดอันดับโลกเกิดแล้วดับมาตลอด ที่อยู่ยาวนานมีน้อยมาก แต่เมื่อคุณสมชายตัดสินว่า พรรคการเมืองของประเทศไทยยังไม่พอเพียง จึงเอื้อให้ตั้งพรรคใหม่ขึ้น ซึ่งดูเหมือนจะมีคนจองตั้งพรรคการเมืองเกินครึ่งร้อย ส่วนจะสามารถตั้งได้และมีอายุยืนยาวผ่านสมัยการเลือกตั้งได้ จะมีสักกี่พรรค ในสมัยที่“หัวพรรคการเมือง”มีราคาเหมือนหัวหนังสือพิมพ์เพราะพรรคการเมืองและหนังสือพิมพ์ถูกคุมกำเนิดนั้น ก็มีคนตั้งพรรคไว้ขาย นี่คือประวัติการเมืองไทยที่คนรุ่นใหม่อาจจะยังไม่ทราบ
ในเมื่อคุณสมชายตัดสินว่า พรรคการเมืองที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอสำหรับการเลือกตั้งที่จะมาถึง ดังนั้น จึงเปิดโอกาสให้มีทางเลือกมากขึ้น ก็ต้องมีความแตกต่างของแนวทางการเมืองอย่างเด่นชัด
ซึ่งดูเหมือนพรรคการเมืองของประเทศไทยนั้น จะขาดแคลนแนวทางการเมืองอย่างยิ่ง เพราะพร้อมจะผสมพันธุ์เพื่อให้เป็นพรรคร่วมรัฐบาลเท่านั้น เพราะเป็นฝ่ายค้านอดอยากปากแห้ง ดังนั้นจึงไม่มีแนวทางการเมืองชัดเจน ขึ้นอยู่กับว่า จะผสมพันธุ์กับใคร
ดังนั้น การเมืองไทยยังวนเวียนกับ“โควตา” แม้แต่มีรัฐบาลพรรคเดียวอย่างเพื่อแม้วที่เคยครองอำนาจมาแล้ว แต่การแต่งตั้งรัฐมนตรีก็ยังขึ้นอยู่กับว่า “หาบ”สส.มาได้กี่คน(โดยพรรคไม่ต้องอุดหนุน) ดังนั้น พรรคการเมืองใหม่ๆ ที่กำลังจะได้รับการยืนยันเป็นทางการ ก็คงไม่มีอะไรใหม่ๆ มานำเสนอแนวทางการเมืองให้แก่ประชาชน มีแต่เสนอตัวบุคคลที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี หรือเสนอ
ผู้สมัครใหม่ๆ หรือคนรุ่นใหม่ ซึ่งก็ไม่มีอะไรแตกต่างกับคนรุ่นเก่า ทำให้การเมืองใหม่หลังเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ ก็ไม่มีอะไรใหม่ๆ จะวนเวียนอยู่กับเรื่องเก่าๆ เช่น พอได้ผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิกครบ ก็เริ่มต้นด้วยการสรรหาประธานฯ ตามด้วยสรรหานายกรัฐมนตรี แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ถวายสัตย์ แถลงนโยบายที่ทำให้สำเร็จก็ได้ ไม่สำเร็จก็ได้ ไร้ความผิด แม้แต่เป็นนโยบายบกพร่องโดยทุจริตก็ตาม
หลังจากนั้นอำนาจ ความคิดต่างๆ การกระทำต่างๆ ก็อยู่ภายใต้อำนาจคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะเมื่อไทยนิยมยั่งยืนเป็นการใช้อำนาจจากบน(คือคณะรัฐมนตรี)ลงล่าง ไร้การถ่วงดุล คัดค้าน ตรวจสอบจากข้าราชการและประชาชน โดยเฉพาะเมื่อการเมืองไทยมิได้แยกอำนาจบริหารออกจากนิติบัญญัติ ถ้าจะได้ครอบครองอำนาจบริหาร ก็หมายถึงต้องมีเสียงข้างมากในรัฐสภา และเมื่อรัฐธรรมนูญเทอำนาจให้ฝ่ายบริหารมากจนเสียดุลอำนาจ ทำให้อำนาจที่ได้จากประชาชนนั้น เป็นอำนาจเผด็จการ
โดยเฉพาะเมื่อพรรคการเมืองใหม่ๆดูเหมือนจะชูตัวบุคคลมากกว่านโยบายหรือทิศทางการทำงานการเมือง ทำให้ไม่มีอะไรใหม่ๆสำหรับการเมืองไทย ดีหรือเลวขึ้นกับผู้นำ เช่นเดียวกับสมัยกึ่งพุทธกาล ที่ผู้นำกำหนดให้“มาลานำชาติ” ประชาชนไม่สวมเกือกได้ แต่ต้องสวมหมวกเมื่อมาติดต่อราชการ ผมเองไม่มีความรู้เรื่องรัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ แต่มีความคิดว่าเมื่อปรัชญาประชาธิปไตยคือ“ความคิดเห็นที่แตกต่าง” แต่ฝ่ายที่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนมากที่สุด จะเป็นฝ่ายได้ลงมือบริหารประเทศ
ดังนั้น กฎหมายสมควรที่จะแบ่งพรรคการเมืองออกเป็นสองซีก ซีกหนึ่ง“เสรีนิยม”สนับสนุนความฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อ ใช้“จีดีพี” เป็นดัชนีชี้วัดระบบเศรษฐกิจ เป็นเสรีนิยมขวาจัด รัฐบาลจะไม่ขัดขวาง คือ กีดกันการค้าเสรี แบบใคร่ใคร่ค้าๆ มือใครยาวสาวได้สาวเอา รัฐบาลจะทำหน้าที่ธุรการอย่างเดียว อีกซีกหนึ่งสนับสนุนความพอเพียง รัฐจะเข้าไปควบคุม กำกับ ดูแลวิสาหกิจที่เป็นปัจจัยในการดำรงชีวิต ไม่ยอมให้การค้าเสรีอิทธิพลเหนือความเป็นอยู่ของประชาชนไทย ต้องควบคุมค่าครองชีพ คุณภาพการรักษาพยาบาล ไม่ยอมให้อิทธิพลของบริษัทยาอยู่เหนืออำนาจรัฐ ควบคุมคุณภาพของการศึกษา มิใช่ยอมให้ต่างชาติมากำหนดทิศทางการศึกษา โดยสั่งให้รัฐตัดความช่วยเหลือเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมในการแข่งขันขายปริญญา ซีกนี้จะเอา “หนี้สินครัวเรือน” เป็นดัชนีชี้วัด
ถ้าคนไทยชอบระบบการค้าเสรี รัฐจะไม่แทรกแซงทุกๆ เรื่อง ก็เลือกกาพรรคในซีกนี้ แต่ถ้าใครชื่นชอบความพอเพียง รัฐจะควบคุมทุกๆ วิสาหกิจที่มีผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ก็เลือกพรรคในซีกนี้ โดยกำหนดให้พรรคการเมืองต้องแจ้งว่าจะใช้นโยบายแบบใด แล้วกำหนดสัญลักษณ์ให้ประชาชนทราบ ถ้าพรรคใดได้ชัยชนะ เมื่อบริหารประเทศครบวาระก็ต้องมีการแสดงผลงานว่าจีดีพีเพิ่มหรือลดเท่าใด หนี้สินครัวเรือนเพิ่มขึ้นหรือลดลงเท่าใด
ถ้าตราบใดที่พรรคการเมืองยังใช้นโยบายมั่ว ตราบนั้นการเมืองไทยก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ศาสตร์พระราชาก็เป็นเพียง“ตำราในห้องสมุด” เพราะพูดอย่างทำอย่าง ประชานิยมพาชาติวิบัติ
ก็ไร้ความผิด เท่ากับส่งเสริมให้ “อำนาจการเมืองเป็นอำนาจไร้ความผิด ผู้แทนแคนดู โนรอง”
หนูจำไม
ตอบ คุณหนูจำไม
พรรคการเมืองใหม่ แต่มาจากนักการเมืองแบบเก่าๆ คงหวังไม่ได้ที่จะให้เกิดอะไรใหม่ เช่น กันกับการที่ประชาชนคนกาบัตรเลือกตั้ง ยังมีความคิดแบบเก่าๆ มันก็คงทำให้การเมืองไทยมีอะไรที่ใหม่และดีขึ้นได้ยาก ทุกอย่างมันต้องปลูกฝัง แก้ไข ปรับเปลี่ยนไปด้วยกันทั้งวงจร โดยเฉพาะเมื่อต้องการให้พรรคการเมืองเป็นแหล่งรวมของผู้มีอุดมการณ์เดียวกันทางการเมือง และแบ่งแยกเป็น 2 ฝ่ายแบบ“เสรีนิยม”กับแบบ“พอเพียง”อย่างที่คุณว่า น่าจะต้องใช้เวลาพัฒนาอีกนาน ไม่อาจเปลี่ยนได้ในยุคที่การปฏิรูปเป็นเพียงเรื่อง
“ดีแต่พูด” แต่ยังหาการกระทำจริงๆ ไม่ค่อยได้
วิภาวดี หลักสี่
p p p
เหม็นขี้ฟัน-ซ้ำซากจากสารขัณฑ์
เรียน คุณวิภาวดี หลักสี่ ครับ
-เหม็นขี้ฟันฟ่ะ-
ออกมาโวโชว์อวดประกวดถ้อย เป็นพรรคใหม่ใส่สร้อยร้อยกล้าหาญ
แจงพรรคเก่าเหลาเหย่ เบ้รำคาญ มิได้การงานเมืองเปลืองเวลา
พรรคของเราเป้าหมายทั้งชายหญิง หนุ่มสาวซิ่งวิ่งล้ำ จ้ำอยู่หน้า
เป็นทางเลือกเฮือกใหม่ในมรรคา จึงอาสามาสู้เพื่อหมู่ชน
พรรคใหม่ในคนเก่า เอามาตั้ง พิโถ่ถัง หยั่งงี้ดีแต่พ่น
ปากบอกรักประชาคาเล่ห์กล มีกังวลยลอดีต นอกรีตรอย
พออ้าปากขากเค้น เห็นลิ้นไก่ บอกเป็นนัย ไม่เกี่ยวสักเสี้ยวน้อย
แต่ลองมองส่องชัดเห็นวัตรหอย ล้วนอยู่ในใจจอย สอยขัดแย้ง
อย่าคิดหนาว่าเขาเฝ้ากินแกลบ จึงได้แอบแนบอ้างวางแถลง
คงรู้อยู่แก่ใจในเคลือบแคลง ทำแสดงดูเด่น เหม็นขี้ฟันฟ่ะ
รัตน์แลนด์ แฟนแนวหน้า
p p p
ซ้ำซากจากสารขัณฑ์
ฟังข่าวคราวราวเรื่องเมืองสารขัณฑ์ อัศจรรย์พันลึก นึกไม่ถึง
เรื่องกล้วยกล้วยอวยยาก อยากรำพึง เรื่องหนักอึ้งผึงหายสลายพลัน
การฉกชิงวิ่งราว หลากฉาวโฉ่ บานทะโร่โผล่สะลอน ขจรลั่น
ทั้งคุณครู สู่สงฆ์ลงประชัน บ้าบอคอแตกนั่น มันยังไง
อีกการบ้านการเมือง ยังเคืองขุ่น ชุลมุนชุลเกเหหันใส่
เศรษฐกิจผิดพ้องหมองกายใจ ค้าอะไรขายอะไร ไม่เสบย
ชาวต่างชาติระบาดทั่ว ทำมัวหมอง เข้ามาคล้องเภทภัย หยามไหมเหวย
คงเห็นกฎคดงอ จึงก่อเกย จนท.ส่อละเลยจนเคยตัว
พลเมืองเฟื่องมดเท็จสำเร็จรูป กระแสสูบมู๊บกระเทือนเปื้อนไปทั่ว
สารขัณฑ์วันนี้มีแต่มัว เต็มไปด้วยคนรั่วมั่วเทาเอย
ชิชะชัด
p p p
WVVIPAWADEE1@GMAIL.COM
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี