Regulatory กิโยติน! ภาษาอังกฤษจริงๆ เขียนว่าGuillotine ครับ แต่ถ้าจะให้เข้าใจกันชัด ขอใช้ทับภาษาไทยว่า “กิโยติน” กันไปเลย กิโยตินก็คือการประหารแบบสับคอขาด คอขาดแล้วคือตายชัวร์ๆ ไม่รอด ไม่ดิ้นต่อ ไม่งอกราก ไม่กลายพันธุ์แน่นอน ดังนั้นสิ่งที่ควรถูกนำมาสับคอขาดที่สุด ที่เป็น “ต้นตอใหญ่” ของปัญหาสังคมที่เป็นดราม่ากันในหน้าหนังสือพิมพ์ทุกวันนี้ก็คือ “กฎหมาย กฎระเบียบ กฎเกณฑ์ ข้อบังคับใบอนุญาต” อะไรต่อมิอะไรอีกมากมายที่ควรจะมีเอาไว้เพื่อบังคับใช้ให้บ้านเมืองผาสุก แต่กลับมีผลตรงข้ามในปัจจุบันนี้
นอกจากปัญหาสังคมแล้ว ปัญหาการเมืองปัญหาเศรษฐกิจก็กระทบหนักจริงๆ จากเรื่องกฎหมายไร้สาระล้นประเทศนี้เช่นกัน แต่เรื่องวันนี้พอเหมาะพอดีกับการยกตัวอย่างที่เกิดขึ้นที่เป็นที่รับรู้กันวงกว้างถึงตัวปัญหาไม่ว่าจะเป็น “ดราม่าศุลกากรตรวจโน้ตบุ๊ค” ก็เกี่ยวกับเรื่องนี้ “ดราม่าป้าทุบรถ” ก็เกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือคนจะเปิดบริษัทใช้เวลาเยอะแยะวุ่นวายก็เกี่ยวกับเรื่องนี้ เปิดบริษัทได้แล้ว อยากจะทำมาค้าขายส่งออกติดขัดแล้วต้องไปจ่ายเงินใต้โต๊ะก็คือเรื่องนี้ ข้าราชการมีช่องโกงกันมากๆ ตัวอย่าง เช่น โกงเงินคนจนแทบจะครบทุกจังหวัดทั่วประเทศ ก็เกี่ยวกับเรื่องนี้
ตัวอย่างดีๆ เราก็มีให้ดูครับ ใกล้บ้านเรานิดเดียว ตัวเทียบเคียงที่น่าสนใจคือ “เกาหลีใต้” รุ่นปู่ย่าตายายเขาแร้นแค้นกว่าเรานะครับ แล้วพอกำลังจะโตก็มาล้มสะดุดตอนวิกฤติการเงิน“ต้มยำกุ้ง” พร้อมๆ กับเรา แต่ก็ผงาดได้ ก็เพราะทำเรื่องนี้สำเร็จ
เรื่องนี้คืออะไร ก็คือ “Regulatoryกิโยติน” !!
คุณบรรยง พงษ์พานิช เรียกได้ว่าเป็น หนึ่งในโต้โผที่จัดการทำเรื่องนี้มา ตอนต้นแกก็ได้อธิบายเอาไว้ให้ได้เข้าใจชัดๆ กัน ผมเห็นควรเป็นประโยชน์ ขออนุญาตนำเนื้อหาจากคำเขียนของผู้รู้ลึกรู้จริงประเด็นนี้มาถ่ายทอดให้อ่านกันต่อเลยครับ
--- คุณบรรยงกล่าวไว้ว่า... สองสามวันนี้มีข่าวชวนหงุดหงิดอยู่สองเรื่อง…
เรื่องแรก เป็นการออกประกาศฉบับที่60/2561 ของกรมศุลกากร เกี่ยวกับการนำของใช้มีค่าออกนอกประเทศซึ่งมีรายละเอียดประมาณว่า ถ้าใครจะนำของใช้ที่มีค่ารวมเกินสองหมื่นบาทโดยเฉพาะที่มีเลขประจำสิ่งของ เช่นนาฬิกา Notebook Computer กล้องถ่ายรูปออกไปนอกประเทศผ่านสนามบินและต้องการนำกลับโดยไม่ต้องเสียภาษี ให้ไปแจ้งพร้อมรูปถ่าย และเวลานำเข้ากลับมา ให้ไปสำแดงผ่านช่องแดงที่สนามบิน ทำเอาทุกคนตกอกตกใจ
กังวลกันว่า ต่อไปนี้จะต้องไปก่อนเวลาสักสี่ชั่วโมง เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่า ถ้ามีคนเดินทางออกวันละแสนคน ก็คงมีสักอย่างน้อยหมื่นคนเข้าข่ายต้องทำรายงาน แต่โต๊ะศุลกากรขาออกมีอยู่แค่โต๊ะเดียวมีคนสองสามคนคอยให้บริการ ...แถมขาเข้ายิ่งน่ากลัวใหญ่ เพราะช่องแดงมีอยู่แค่ช่องเดียว ถ้าหมื่นคนมารอเข้าคิวแล้วบริการได้นาทีละห้าคน วันหนึ่งต้องใช้กว่าสามสิบชั่วโมงถึงจะบริการได้หมดคิวคงยาวออกไปรันเวย์เป็นแน่กลับวันนี้ คงต้องบอกให้รถมารับอาทิตย์หน้า
ร้อนถึงท่านอธิบดีต้องออกมาชี้แจงเป็นพัลวันว่า อย่าตกอกตกใจไปเลย นี่เป็นเหมือนประกาศเก่าที่ใช้มาตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว ถ้าอ่านให้ดีจะพบว่า มีอีกวรรคต่อมาบอกว่า “ถ้าเป็นของที่ใช้เป็นปกติวิสัยระหว่างเดินทาง ไม่ต้องแจ้งก็ได้” เพราะฉะนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะทำเหมือนเดิมๆคือ ตรวจบ้างไม่ตรวจบ้างเก็บบ้างไม่เก็บบ้าง ที่ต้องออกมาประกาศก็เพราะมีการออกกฎหมายใหม่ เลยต้องประกาศย้ำอีกที และก็ลอกของเก่ามาทั้งดุ้นนั่นแหละ อย่าดราม่า วุ่นวายกันให้มาก
แต่ถ้าพิจารณาให้ดี นี่เป็นประกาศที่ออกตามกฎหมายและมีผลใช้บังคับกับประชาชนทุกคน ท่านเล่นทำแบบกำกวม เปิดให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลยพินิจเลือกปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติก็ได้เช่นนี้ แถมออกมาบอกว่าเป็นกฎที่จะไม่บังคับเข้มงวดหรอกออกมาเผื่อๆ ไว้สำหรับบางกรณี
อย่างนี้แหละครับที่เป็นปัญหาเรื่องlaw enforcement ที่เรียกร้องกันนักหนาและพอเรามี norm อย่างนี้ ก็เลยเป็นสังคมเละๆที่มีกฎหมายมากมาย แต่ใช้บังคับไม่ได้อย่างที่เห็น
เรื่องแรกนี่อาจจะไม่ส่งผลกระทบมากนักเพราะเอาเข้าจริงท่านก็ทำเหมือนเดิมคือ มั่วๆ ตามใจฉันไป มีกฎแต่จะอะลุ้มอล่วย ใครจะเอาของเข้าเกินสองหมื่น ท่านก็จะหลิ่วตาเสียเหมือนเคย (ผมเชื่อว่า ร้อยละแปดสิบมีของเกินสองหมื่น แล้วเจ้าหน้าที่ละเลยไม่ปฏิบัติน่าจะผิด ม.157)
แต่เรื่องที่สองนี่สิครับ มีผลถึงชีวิตเลยทีเดียวและอาจส่งผลเสียหายยิ่งใหญ่ต่อเนื่องไปได้อีกยาวนานคือ การที่สตง.ไปตรวจสอบการใช้เงินซื้อวัคซีนกันพิษสุนัขบ้าของเทศบาลเมื่อปี 2557 แล้วระบุว่า ทำผิด พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2499 ที่ระบุให้กรมปศุสัตว์รับผิดชอบฉีดวัคซีนสัตว์จรจัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่เกี่ยว แถม สตง.ยังสั่งให้เรียกเงินคืนและสอบเอาผิดวินัยคนจัดซื้อ ทำให้อปท.ทั้งหลายกลัวความผิด ชะลอการฉีดวัคซีนไป
แถมองค์การอาหารและยาก็แบกอำนาจตามกม.ของตัวเข้ามาแทรกแซงการนำเข้าวัคซีน จนขาดตลาดไปอีกช่วงใหญ่
ข้างกรมปศุสัตว์ซึ่งเล็กนิดเดียว ก็ไม่มีปัญญาจะไปจัดการสัตว์จรจัดทั่วประเทศได้ เลยไปขอให้กฤษฎีกาตีความให้อปท.ต่างๆ ทำหน้าที่นี้ได้จนสำเร็จในปี 2559 ...แต่ก็นั่นแหละครับ เว้นไปสองปีก็ส่งผลร้ายมหาศาลแล้ว
จากที่ต้องใช้ความพยายามและงบประมาณมหาศาลมาหลายสิบปี ควบคุมลดโรคพิษสุนัขบ้าลงไปจนอยู่ในอัตราที่ควบคุมได้ จากความงี่เง่า(แต่ก็อ้างว่าทำตามกฎหมาย)ของสตง. มาปีนี้โรคพิษสุนัขบ้า ก็โผล่ขึ้นมากว่าสองเท่าตัว มีคนตายไปแล้วหลายคนและไม่รู้ว่า จะลุกลามขยายผลสร้างความเสียหายต่อไปอีกสักเท่าไหร่
ทั้งสองเรื่องนั้นถ้าดูเผินๆ อาจจะเป็นคนละเรื่องคนละด้านแต่แท้จริงแล้วมาจากปัญหาเดียวกันคือปัญหาเรื่องเรามีกฎมีระเบียบที่มากมายและไม่ได้เป็นกฎที่มีประสิทธิภาพไม่ได้ออกโดยพิจารณาผลกระทบให้ครบถ้วนหลายๆ กฎก็ล้าสมัย บางกฎก็เกินความจำเป็น แถมเรายังตั้งหน้าตั้งตาออกกฎเพิ่มอย่างไม่หยุดยั้ง โดยนานๆ ทีถึงจะมีบางหน่วยงานยกเลิกกฎเดิม จะเห็นได้ว่า ขณะที่ทั้งโลกเขาพยายามลดเลิกกฎหมายให้เหลือเท่าที่จำเป็น แต่สภาไทยประกาศอย่างภาคภูมิใจว่าสามปีออกกฎหมายได้เกือบสามร้อยฉบับสูงที่สุดตั้งแต่มีสภามา
หรือเอาง่ายๆ แค่กรมศุลกากรกรมเดียวแค่สองเดือนเศษออกประกาศมา 60 ฉบับ แล้วและทุกประกาศมีผลบังคับใช้กับประชาชนทุกคน(ตามแต่ท่านจะเลือกใช้นะครับ)
ใช่ครับทุกประเทศต้องมีกฎหมาย กฎหมายเป็นเรื่องจำเป็น แต่ก็เช่นเดียวกับทุกสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่ต้องมีต้นทุนแฝงมาด้วย มีการประมาณว่าประเทศที่มีกฎหมายพอเหมาะพอดี ก็จะมีต้นทุนประมาณ 10% ของ GDP แต่ถ้ามีมากเกินไป และมีแบบไม่ดี ก็อาจมีต้นทุนสูงทะลุเกินกว่า 20% ได้เลยทีเดียว
ค่อนข้างชัดเจนว่าประเทศไทยมีกฎหมายและข้อบังคับต่างๆ มากเกินไปเรามีพระราชบัญญัติทั้งหมดประมาณ 1,000 ฉบับกฎหมายระดับรองลงมาคือพระราชกฤษฎีกาและกฎกระทรวงอีก 20,000 ฉบับ และยังมีระเบียบคำสั่งประกาศต่างๆ ที่ออกโดยอาศัยอำนาจของกฎหมายอีกกว่าแสนฉบับ (ไม่มีใครในโลกนี้รู้ว่ามีเท่าไหร่ เพราะสนง.กฤษฎีการวบรวมได้ประมาณ 105,000 ฉบับ และแน่ใจว่ายังไม่ครบ) เอาแค่ใบอนุญาต(License)ต่างๆ ก.พร.สำรวจว่ามีอยู่เกือบ 7,000 ชนิดในขณะที่ OECD แนะนำว่าประเทศที่ดีควรมีแค่ไม่เกิน 300 !!!!!
เราขยันออกกฎหมายกันมากแล้วก็ทำกันมากว่าร้อยปีแล้วโดยแทบไม่มีการยกเลิกเลยถ้าสังเกตดูในราชกิจจานุเบกษาทุกสัปดาห์จะต้องมีการออกกฎออกคำสั่งต่างๆ ประมาณว่ามากกว่า 20 รายการ ในแต่ละเดือน
นอกจากจะออกกฎหมายเยอะแล้วเรายังไม่มี ระบบประเมินผลกระทบ(Regulation Impact Assesment) กับไม่มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียที่มีประสิทธิภาพอย่างสากล ก่อนที่จะออกกฎใดๆรวมทั้งไม่มีกระบวนการทบทวนยกเลิกกฎที่ล้าสมัยและหมดประโยชน์อย่างเป็นระบบ รัฐบาลนี้ได้ออก“พระราชกฤษฎีกาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย” เมื่อ 25 ส.ค.2558 ระบุให้รัฐมนตรีทุกกระทรวงต้องทบทวนกฎหมายที่ตนรักษาการทุกๆ 5 ปี โดยในปีแรกต้องระบุตารางให้หมดว่าจะทบทวนกฎหมายใดเมื่อไหร่ ซึ่งเป็นเจตนาที่ดีแต่เท่าที่ผมทราบแทบไม่มีกระทรวงใดได้จัดทำจริงจังเลย ...ซึ่งพระราชกฤษฎีกานี้ก็คงเหมือนกฎหมายอื่นๆ แหละครับที่สักแต่ว่าออกๆ ไป ใครจะทำตามก็ได้ ไม่ทำก็ได้ ไม่ค่อยมีใครสนใจจริงจัง (นี่ผมอยากกล่าวหาเลยว่ารัฐมนตรีรวมทั้งนายกฯที่รักษาการตามพ.ร.ฎ.นี้ ผิดกฎหมายกันทุกคน ที่ไม่ทำหน้าที่)
นี่เป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และเป็นตัวฉุดที่สำคัญอันหนึ่งของประเทศการที่เรามีกฎระเบียบหยุมหยิมไปหมด นอกจากจะฉุดทั้งภาครัฐภาคเอกชน เพิ่มภาระต้นทุนมหาศาลแล้ว ยังทำให้กระทบชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน การบังคับใช้ก็เป็นไปไม่ได้อย่างเสมอภาค เกิดสังคมสองมาตรฐานเลือกปฏิบัติ และสร้างเงื่อนไขที่ส่งเสริมการทุจริตคอร์รัปชั่นไปทั่วทุกหัวระแหง
พอเรามีกฎเยอะ เราก็เลยต้องสร้างต้องขยายภาครัฐที่ใหญ่(ข้าราชการมากกว่าสองล้านสองแสนคน แล้ว) แล้วก็มีแต่การโกงกินกันทุกระดับ ทุกหน่วยงานอย่างที่เป็นอยู่
เราพูดถึงการปฏิรูประบบราชการมานานมากแล้ว แต่ไม่เห็นมีความคืบหน้าใดๆเลย ผมขอยืนยันเลยครับว่า ระบบราชการคือระบบที่สร้างขึ้นตามกฎหมายและเป็นระบบที่ห่อหุ้มกฎหมายอยู่ การจะปฏิรูปราชการได้ มีแต่ต้องเริ่มที่ปฏิรูปกฎหมายอย่างจริงจังเท่านั้น ถ้าไม่งั้นก็ได้แต่ปฏิรูปโดยลมปาก
แต่ก็อีกแหละครับการปฏิรูปกฎหมายก็เหมือนกันมีการพูดถึงกันตลอดมา
แต่ก็ดูเหมือนไม่มีความคืบหน้าใดๆ และไม่รู้จะเริ่มตรงไหนมีคณะกรรมการมากมายแต่ก็ไม่ไปไหนเสียทีซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยเพราะประเทศไหนๆก็เคยเจอปัญหาเดียวกันนี้มาก่อนจนกระทั่งเมื่อยี่สิบปีก่อน OECD ก็ได้คิดค้นกระบวนการที่มีประสิทธิภาพที่ใช้ได้ผลกับกว่าสิบประเทศแล้ว เช่น เกาหลี โครเอเชีย จอร์เจีย หรือแม้แต่ประเทศด้อยพัฒนาอย่าง เคนยา เวียดนาม
วิธีการของเขานั้นมีเป้าหมายง่ายๆว่า จะยกเลิกกฎระเบียบที่ไม่จำเป็นให้หมด ส่วนที่เหลือก็จะปรับปรุงให้ทันสมัย โดยใช้กระบวนการที่เป็นวิทยาศาสตร์ ทำได้รวดเร็วครั้งละมากๆ และทุกภาคที่มีส่วนได้เสียจะมีส่วนร่วม
ยกตัวอย่างที่เขาทำให้เกาหลีใต้ในปี1998 หลังวิกฤติกิมจิที่ติดไปจากต้มยำกุ้งของเราใช้เวลา 11 เดือน ทบทวนกฎ 11,000 ฉบับ แล้วยกเลิกไปเกือบห้าพัน ทบทวนปรับปรุงอีกสองพันแปด อย่างใบอนุญาตเคยมีแปดร้อยกว่าชนิด ก็ลดจนเหลือน้อยกว่าสองร้อยห้าสิบเกิดประโยชน์อย่างมาก แล้วเขาก็ทำต่อเนื่อง จนปัจจุบันก็ยังมีหน่วยงานทำหน้าที่นี้อยู่ Scott Jacobs ซึ่งเคยเป็นผู้อำนวยการด้าน Regulatory Reform ของ OECD ออกมาตั้งบริษัทที่ปรึกษาทำเรื่องนี้ให้กับหลายประเทศทั่วโลกและ TDRI ได้เชิญให้เขาเข้ามาอธิบายกระบวนการนี้ให้เราเข้าใจและเห็นว่า น่าจะใช้ได้ดีในประเทศไทย
คุณบรรยงย้ำว่า..ผมพยายามผลักดันให้เกิดกระบวนการนี้ตั้งแต่ปลายปี 2558 แต่ก็ติดขัดหลายอย่าง กว่าจะตระเวนอธิบายให้ผู้ใหญ่และรัฐบาลเห็นด้วย ก็ใช้เวลาตั้งปี พอดีปลายปี 2559 ผมมีเหตุให้ลาออกจากการทำงานกับรัฐบาลนี้ ก็เลยได้แต่คอยช่วยเชียร์ช่วยสนับสนุนอยู่ห่างๆ
เป้าหมายของโครงการก็คือจะเลือกกฎหมายมาเข้ากระบวนการพิจารณาลดเลิกให้มากที่สุดถ้ากฎไหนยังมีประโยชน์ก็อาจปรับปรุงให้เหมาะสมกับบริบทยุคสมัย โดยหวังว่ากระบวนการนี้จะสร้างประโยชน์ให้กับระบบและจะเดินหน้าต่อไปแม้รัฐบาลนี้จะส่งไม้ต่อให้รัฐบาลใหม่แล้ว
ตอนนี้หน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องนี้ก็คือ คณะอนุกรรมการปรับปรุงยกเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพหรือการดำเนินธุรกิจของประชาชน ที่มีนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีสำนักนายกฯเป็นประธาน ซึ่งมีทีมงานคนรุ่นใหม่ไฟแรง พยายามผลักดันให้มีการดำเนินการให้เป็นรูปธรรม ซึ่งถ้าเกิดผลเป็นรูปธรรมได้จริง ก็ต้องนับว่ามีการปฏิรูปแท้จริงบ้าง ไม่ทำให้รัฐประหาร “เสียของ” ไปเสียทั้งหมดและหวังว่าภายหลังเลือกตั้งกระบวนการนี้จะคงดำเนินต่อไป
ส่วนตัวผมจำคำสัมภาษณ์ดร.ประสารได้ครับ ท่านพูดไว้ในเชิงว่าการปฏิรูปประเทศมีมากมายหลายเรื่องแต่เรื่องที่สำคัญที่สุด และถ้าทำสำเร็จจะทำให้ปลดแอกเรื่องอื่นๆ ตามมา เรื่องนี้เรื่องใหญ่ที่ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจ ทางเราขอเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยเกาะติดเรื่องนี้ต่อไปจนกว่าจะสำเร็จก็แล้วกันครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี