เมื่อวันที่ 15 มี.ค. ที่ผ่านมา ศาลอาญาอ่านคำพิพากษา คดีปลอมตั๋วเงิน หมายเลขดำอ.134/2559
พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดาหรือ เดอะบิ๊ก อดีตประธานสโมสรทีมฟุตบอลเพื่อนตำรวจ และนายสิทธินันท์ หลอมทอง กรรมการผู้มีอำนาจบริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด ร่วมกันเป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันปลอมและใช้ตั๋วเงินปลอม
พิพากษาคุก คนละ 10 ปี ไม่รอการลงโทษ
1. การกระทำความผิดในคดีนี้ เป็นเสมือน “ฉากหนึ่ง” ในขบวนการทุจริตเงิน สกสค.
นั่นคือ การปลอมเอกสารตั๋วแลกเงิน หรือดราฟท์ (Draft ของธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ แบงก์กิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด อ้างมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,200 ล้านบาท ไปแสดงต่อสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อค้ำประกันตั๋วสัญญาใช้เงินของ บริษัท บิลเลี่ยนฯ จำนวน 2,100 ล้านบาท ที่ร่วมกันนำมาขายให้ สกสค.
ศาลอาญาพิพากษา เฉพาะในส่วนที่ “เดอะบิ๊ก” กับพวก ร่วมกันปลอมและใช้ตั๋วเงินปลอม
แค่กระทงเดียว จำคุกคนละ 10 ปี และริบของกลาง
ขณะนี้ เข้าไปติดคุก รอต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ต่อไป
2. ที่ว่าเป็นแค่ “ฉากหนึ่ง” ก็เพราะในขบวนการทุจริตเงิน สกสค.นั้น ยังมีคดีที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดไปแล้ว
มีทั้งข้าราชการ ผู้บริหาร สกสค. ถูกชี้มูลความผิด
ส่วน “เดอะบิ๊ก” และพวกที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ ฝ่ายที่นำตั๋วสัญญาใช้เงินไปขายให้ สกสค. ก็ยังถูกชี้มูลฐานสนับสนุนเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่มิชอบอีกด้วย
และวิธีการเอาหลักทรัพย์โบ๋เบ๋ไปอ้างต่อ สกสค. ก็ไม่ได้มีเฉพาะดราฟท์ (Draft ของธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ แบงก์กิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด แต่ยังมีทั้งโฉนดที่ดิน, เช็คของธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน), ใบหุ้นของสโมสรฟุตบอลเรดดิ้ง 50 ล้านหุ้น หุ้นละ 1 ปอนด์, เงินสกุลโครเอเชีย 950,000,000 HRK ฯลฯ
สุดท้าย โบ๋เบ๋ ไม่สามารถใช้เป็นหลักประกันได้
ประเด็นสำคัญ คือ ผู้บริหาร สกสค.ในขณะนั้น โง่ หลงเชื่อ “เดอะบิ๊กกับพวก หรือเป็นการทุจริต ?
ป.ป.ช. ชี้มูลว่า เป็นการทุจริต
ยังรอการต่อสู้คดีในชั้นศาล สำหรับคดีที่ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดไปแล้ว
3.กลางปีที่แล้ว เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2560 ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดอาญาร้ายแรง คณะกรรมการบริหารกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการสวัสดิการเงินกู้ กองทุนการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) จำนวน 20 คน กรณีอนุมัติเงินจากกองทุน ช.พ.ค. จำนวน 2,500 ล้านบาท ไปซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด โดยมิชอบ
ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่รัฐ อาทิ นายเกษม กลั่นยิ่ง นายสมศักดิ์ ตาไชย และพวก รวมถึงฝ่ายเอกชน อาทิ บริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด นายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา เป็นต้น
อันที่จริงแล้ว กองทุน ช.พ.ค. นำเงินไปลงทุนกับบริษัทบิลเลี่ยนฯ 3 ครั้ง คิดเป็นวงเงินลงทุนรวม 3,000 ล้านบาท อ้างว่าลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ อำเภอหนองหญ้าปล้อง จังหวัดเพชรบุรี
ครั้งที่ 1 วันที่ 30 มิถุนายน 2556 นำเงิน 500 ล้านบาท ไปซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทบิลเลี่ยนฯ ลอตนี้ ช.พ.ค.ได้รับเงินคืนเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2557
ครั้งที่ 2 วันที่ 27 ธันวาคม 2556 นำเงิน 2,100 ล้านบาท ซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทบิลเลี่ยนฯ
ครั้งที่ 3 วันที่ 1 สิงหาคม 2557 ซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินเพิ่มอีก 400 ล้านบาท
ครั้งที่ 2 และ 3 นั้น กองทุน ช.พ.ค. ยังไม่ได้เงินคืน
คณะอนุกรรมการไต่สวนเรื่องนี้ มีศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ เป็นประธานอนุกรรมการ มี นายปรีชา เลิศกมลมาศ กรรมการ ป.ป.ช. และนางสาวสุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นอนุกรรมการ ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม สอบละเอียด หมดจด
ระบุถึงขนาดว่า
วันที่ 23 ธันวาคม 2556 สกสค.ได้รับหนังสือเชิญชวนบริษัทบิลเลี่ยนฯ ซึ่งมีนายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา นายสิทธินันท์ หลอมทอง และนายมงคล เยี่ยงศุภพานนทร์ เป็นกรรมการผู้จัดการ
วันที่ 25 ธันวาคม 2556 เวลา 18.00 น. ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค. อนุมัติให้นำเงินของกองทุน ไปซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินจากบริษัทบิลเลี่ยนฯ 2,100 ล้านบาท โดยพิจารณาจากเอกสารของบริษัทบิลเลี่ยนฯ ที่เชิญชวนเพียงฉบับเดียว
แม้ในหนังสือเชิญชวนกำหนดเงื่อนไขว่า จะมีธนาคารเป็นผู้อาวัลเต็มจำนวน ดอกเบี้ยร้อยละ 7 กำหนดเวลา 1 ปี ทางคณะกรรมการ ก็ไม่มีการพิจารณาในรายละเอียดหรือเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นสถานะของบริษัท ทุนจดทะเบียนและผลประกอบการ ที่สำคัญ ไม่ทำการตรวจสอบเอกสารเกี่ยวกับการอาวัลของธนาคารอันเป็นเงื่อนไขสำคัญ ทั้งๆ ที่ ไม่มีความจำเป็นต้องรีบเร่งอนุมัติเช่นนั้น
สองวันหลังอนุมัติ ก็เร่งรีบโอนเงินจำนวน 2,100 ล้านบาท ให้กับบริษัท
ภายหลัง บริษัทบิลเลี่ยนฯ นำหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดิน เช็คของธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) และดราฟท์ของธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้คอร์เปอเรชั่น จำกัด อ้างมูลค่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ มาให้ สกสค. ยึดถือไว้เพื่อเป็นประกัน แต่ข้อเท็จจริงพบว่า ราคาประเมินที่ดินแค่ 37 ล้านบาทเท่านั้น
เช็คข้างต้น ไม่สามารถขึ้นเงินได้จริง
ส่วนดราฟท์ข้างต้น ก็ตรวจสอบพบว่าเป็นของปลอม (อันนี้เอง ที่เป็นคดีอาญาแยกออกมาอีกต่างหาก ซึ่งศาลอาญาพิพากษาลงโทษจำคุกเดอะบิ๊ก 10 ปี นั่นเอง)
หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2557 (ขณะที่ตั๋วสัญญาใช้เงินงวดแรก ยังไม่มีธนาคารมาอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงิน) คณะกรรมการบริหารกองทุน ก็อนุมัติให้ไปซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินจากบริษัท บิลเลี่ยนฯ เพิ่มอีก 400 ล้านบาท
โดยที่ตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 400 ล้านบาทนี้ ก็ไม่มีการอาวัล
ต่อมา บริษัทบิลเลี่ยนฯ อ้างทำใบหุ้นของสโมสรฟุตบอลเรดดิ้ง 50 ล้านหุ้น หุ้นละ 1 ปอนด์ มาวางเป็นประกัน แต่ตรวจสอบพบว่า เป็นใบหุ้นปลอม
จากนั้น บริษัทบิลเลี่ยนฯ นำเงินสกุลโครเอเชีย 950,000,000 HRK อ้างว่านำมาวางเพื่อขอขยายระยะเวลา แต่ตรวจสอบพบว่า เป็นเงินสกุลโครเอเชียที่เลิกใช้ไปแล้ว
สุดท้าย กองทุนของครูก็ยังไม่ได้เงินคืน 2,100 ล้านบาท
ป.ป.ช. ชี้ว่า พฤติการณ์ของคณะกรรมการบริหารกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค. ที่อนุมัติเงินของกองทุน2,100 ล้านบาท และ 400 ล้านบาท เป็นการเอื้อประโยชน์ให้บริษัทบิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด ได้รับเงินทั้งจำนวน 2,100 ล้านบาท และ 400 ล้านบาทดังกล่าวไปโดยมิชอบและโดยทุจริต เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อกองทุน และสำนักงานคณะกรรมการ สกสค.
การกระทำของคณะกรรมการบริหารกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค. มีมูลความผิดตามกฎหมายอาญาและความผิดวินัย ส่วนเดอะบิ๊กก็ถูกชี้มูลผิดฐานสนับสนุน
รอดูตอนจบ ว่าทั้งขบวนการโกงเงินครู จะเผชิญชะตากรรมอย่างไร?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี