กระแสนิยมแต่งกายย้อนยุคอย่างละครเรื่องบุพเพสันนิวาส แพร่กระจายไปทั่วลุ่มน้ำเจ้าพระยาข้ามแม่น้ำโขง แม่น้ำสาละวินลามทั่วถิ่นสุวรรณภูมิ ไปถึง สปป.ลาว กัมพูชา สหภาพพม่า กระแสออเจ้าเข้าไปถึงสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน นักวิชาการทางเศรษฐกิจ สังคม หลายฝ่ายให้เครดิตว่า ละครเรื่องบุพเพสันนิวาสที่ได้จุดประกายให้คนไทยหันมาสนใจประวัติศาสตร์ยุคพระนารายณ์มหาราช ที่ผู้จัดละครนำเสนอเกร็ดประวัติศาสตร์วิถีชีวิต วัฒนธรรมการแต่งกาย ภาษาที่ใช้ในยุคนั้น ผสมผสานกับภาษาและศิลปวัฒนธรรมยุคใหม่ ที่ตัวเอกของเรื่องซึ่งข้ามชาติข้ามภพ นำไปประยุกต์ใช้เป็นแง่มุมที่ได้ทั้งบันเทิงและสาระทำให้หลายคนคิดว่านั้นคือที่มากระแสนิยมไทย
แต่ถ้าได้สังเกตหรือศึกษา จะพบว่าสังคมไทยแต่ไหนแต่ไรมา มักปฏิบัติตามศาสตร์พระราชาและพระราชนิยม อมตะนิยายเรื่อง “สี่แผ่นดิน”ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้บรรยายถึงกระแสนิยม การแต่งกาย การละเล่น การสะสมเครื่องใช้ตั้งแต่ตำรับหมาก ตลับสีผึ้ง ไม้เท้า เลี้ยงไม้ดัด กล้วยไม้ ไปถึงการปั่นจักรยาน เล่นกีฬา ฯลฯ ตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ ที่ ๖ ที่ ๗ กระแสนิยมของสังคมไทยทุกสมัยเปลี่ยนแปลงไปตามพระราชนิยมในยุคนั้นๆ กระแสนิยมไทยที่ปฏิบัติตามพระราชนิยมและโบราณราชประเพณี พุ่งขึ้นสุดในยุคนี้เพราะมีสถาบันพระมหากษัตริย์ศูนย์รวมจิตใจคนในชาติ พระราชทานโอกาสให้คนไทยได้มีส่วนร่วม เรียนรู้ซึมซับศิลปวัฒนธรรม โบราณราชประเพณีตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา
๑๖ ส.ค. ๒๕๕๘ ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ เมื่อครั้งครองพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงจักรยานนำขบวน “ปั่นเพื่อแม่” ที่มีประชาชนปั่นตามขบวนเสด็จเกือบสามแสนคนวันนี้ปั่นจักรยานเป็นกระแสนิยมของนักปั่นหลายล้านคน ๑๓ ตุลาคม๒๕๕๙ วันที่คนไทยสูญเสียครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ แต่ในความสูญเสียนั้น คนไทยทั้งชาติได้มีโอกาสเรียนรู้ ได้มีส่วนร่วม ได้ซึมซับประวัติศาสตร์ โบราณราชประเพณี ตลอดถึงศิลปวัฒนธรรมอันงดงามยิ่งใหญ่ หนึ่งปีของการไว้ทุกข์แสดงความไว้อาลัยต่อในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่คนไทยได้เรียนรู้วัฒนธรรมการแต่งกายแบบไทยที่สุภาพสำรวม หนึ่งปีเต็มที่คนไทยทั้งชาติได้มีส่วนร่วมสร้างสรรค์งานศิลปวัฒนธรรมที่งดงามยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
หนึ่งปีที่คนไทยแต่งกายไว้ทุกข์ที่แฝงความเป็นไทยไว้หลายยุคหลายสมัย และเมื่อเสร็จสิ้นงานพิธีพระราชทานเพลิงพระบรมศพ ที่ชาวไทยกว่า 22 ล้านคน ได้วางดอกไม้จันทน์แล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้มีนิทรรศการงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง ตลอดเวลา ๖๐ วัน มีผู้เข้าชมกว่า ๔ ล้านคน
และตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ เป็นต้นมา ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐โปรดเกล้าฯ ให้จัดแสดงดนตรีมอบความสุขแก่ประชาชนที่ลานพระราชวังดุสิตทุกๆ สุดสัปดาห์ กระแสนิยมไทยที่ประชาชนได้มีส่วนร่วมสองปี พุ่งขึ้นสูงสุดเมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานฤดูหนาว “อุ่นไอรัก คลายความหนาว” ณ พระลานพระราชวังดุสิตและสนามเสือป่า ระหว่างวันที่ ๘ ก.พ. ถึง ๑๑ มี.ค. ๒๕๖๑ ประชาชนกว่า ๑.๒ ล้านคน ได้มีส่วนร่วมแต่งชุดไทยย้อนยุค ได้ร่วมงานรื่นเริง ชมการแสดงศิลปวัฒนธรรม วิถีความเป็นอยู่แบบไทยตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน จึงพูดได้ว่าพระราชนิยมทุกยุคทุกสมัยมีอิทธิพลต่อกระแสนิยมในสังคมไทย และด้วยทศพิธราชธรรมของบูรพกษัตริย์ไทยทุกพระองค์ ทำให้คนไทยซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ พร้อมใจกันตามรอยพระบาทและปฏิบัติตามพระราชนิยม
ดังนั้นใครก็ตามที่แคลงใจในพระราชนิยมหรือศาสตร์พระราชาแล้วพูดว่า “เศรษฐกิจพอเพียง ก็เป็นวาทกรรมแบบหนึ่งเท่านั้นเอง”จึงเป็นที่อิดหนาระอาใจที่คนไทยรับไม่ได้ ดังที่อ.Pat Hemasuk ได้เขียนไว้ว่า “การที่เป็นคนรุ่นใหม่ตัดสินใจเข้ามาทำงานการเมืองนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่สิ่งที่ติดตัวติดหัวเข้ามาในสภาด้วยคือ “ความไม่รู้” ยังอ่อนประสบการณ์ ทำให้ผมคิดถึงคำของ นายปรีดี พนมยงค์ ที่พูดว่า “เมื่อข้าพเจ้ามีอำนาจ ก็ไม่มีประสบการณ์ แต่เมื่อข้าพเจ้ามีประสบการณ์ ก็ไม่มีอำนาจแล้ว”
เรื่องที่ผมอยากจะเขียนคือความคิดแบบกล่องสี่เหลี่ยมที่เป็นฟอร์แมตสำเร็จรูปนั้น เมื่อเข้าไปในหัวใครแล้ว มันจะทำให้หัวคนนั้นเป็นสี่เหลี่ยมเหมือนกล่องไปด้วย (squarehead) เพราะความคิดแบบกล่องนั้น ส่วนมากมันพ้นยุคไปแล้ว อย่างเช่นล้มเอกสิทธิ์ของสถาบันกษัตริย์ในการปกป้องตัวเองจากการพูดจากล่าวร้าย แล้วให้ฟ้องหมิ่นประมาทเอาเองเหมือนคนทั่วไป ล้มเอกสิทธิ์ในอำนาจการแต่งตั้งและถอดถอนตำแหน่งบางตำแหน่งที่เคยเป็นพระราชอำนาจที่มีแต่เดิมมา เช่น พระสังฆราช องคมนตรี นายทหารรักษาพระองค์ ฯลฯ ล้มพระราชอำนาจในการติดต่อสื่อสารกับประชาชนโดยตรง การมีพระราชดำรัสอะไรก็แล้วแต่ต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐบาล
เรื่องแบบนี้ลองถามคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ดูว่าจะเอาแบบนี้ไหม ล้มเอกสิทธิ์บางประการของสถาบันศาสนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสนาหลักของคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ เรื่องจะให้ศาสนาอยู่ใต้การปกครองของรัฐบาล การแต่งตั้งตำแหน่งทางศาสนาทั้งสังฆาธิการ พระสังฆราช ฯลฯ ต้องมาจากรัฐบาล วัดและคณะสังฆาธิการ พระสังฆราช จะมีการทำกิจกรรมกับประชาชนต้องได้รับการอนุญาตจากรัฐบาล
ผมบอกได้เลยว่าแนวคิดแบบนี้คือแนวคิดแบบกล่องสี่เหลี่ยมที่ตกยุคไปแล้วเกือบหนึ่งศตวรรษก็ว่าได้ มันตายไปพร้อมกับแนวความคิดแบบกล่องสี่เหลี่ยมของ เลนิน หรือ เหมาอิสต์ ที่เวลานี้คนทั้งโลกไม่มีใครพูดถึงจุดนี้กันแล้ว หลายประเทศทั้งในยุโรปและเอเชีย (โดยเฉพาะญี่ปุ่น) ดัดแปลงระบบสภาให้รองรับกับระบบกษัตริย์ที่มีมาแต่เดิมได้แบบที่ไม่สะเทือนความรู้สึกของประชาชน มีหลายประเทศที่เลือกใช้ระบบกษัตริย์ในเชิงสัญลักษณ์ และหลายประเทศเลือกระบบที่ยังคงให้ทรงพระราชอำนาจบางส่วนเอาไว้
การไปแตะต้องสถาบันส่วนนี้ ในขณะที่ตัวเองยังไม่มีทั้งอำนาจในสภาและประสบการณ์ทางการเมืองนั้น คนที่คิดทั้งหัวขบวนและลูกน้อง ถ้าไม่บ้าก็เซ่อเป็นอย่างที่สุด ส่วนในเรื่องศาสนานั้น ความคิดลดความสำคัญของศาสนานั้น มันตกยุคไปแล้ว จะเห็นว่าทั้ง จีนและรัสเซีย ที่เคยไม่ให้ความสำคัญต่อศาสนา ทำลายศาสนา ได้หันมาปล่อยเสรีในกิจกรรมและทำนุบำรุงศาสนาให้กลับมาเหมือนเก่าหมดแล้ว วัดในจีนถูกซ่อมแซมกลับมาเหมือนเก่า เปิดเสรีให้ทำพิธีตามความเชื่อแต่เดิมมา เช่น การไหว้บรรพบุรุษ แปะกระดาษสี ห้อยโคมในช่วงตรุษจีน สารทจีน และวัดคือแหล่งทำเงินในธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศไปแล้ว
ในรัสเซียนั้น วัดออโธด็อกซ์ก็กลับมาทำพิธีได้เหมือนเดิม ในงานรัฐพิธี หรือแม้แต่ที่นั่งในสภาก็ยังมีการสงวนที่นั่งและเวลาในการทำพิธีให้กับตัวแทนศาสนา แม้กระทั่ง ประธานาธิบดีปูตินเองยังไปวัดทุกเทศกาลสำคัญ และเวลานี้การประจำการเรือรบ เรือสินค้า เครื่องบิน แม้แต่ยานอวกาศ รัสเซียไม่เคยห้ามถ้าหน่วยงานนั้นๆ จะเชิญพระมาทำพิธีเจิมให้ศีลให้พรเพื่อความสบายใจแก่ทหารและทีมงาน และในกองทัพก็มีการเพิ่มตำแหน่งศาสนาจารย์ขึ้นมา ทำหน้าที่ทางศาสนา หลังจากที่ไม่มีมากว่าร้อยปี
ผมถึงบอกว่าแนวคิดเรื่องสถาบันทั้งสองสถาบันนั้น อย่าเอาเศษของความคิดหลงยุค เลนิน-เหมาอิสต์ ที่เวลานี้ไร้ประโยชน์และตกยุคมาใส่หัวเลย เพราะมันจะทำให้คนทั่วไปมองว่าเป็นคนรุ่นใหม่ไม่จริง รุ่นใหม่แต่อายุและหน้าตาแต่สมองกลวง เพราะยังเอากล่องความคิดบางประการของคนรุ่นเก่าหรือรุ่นที่เก่ามาก ตกยุค มาใส่หัวให้กลายเป็น “สแควร์เฮด” หรือคนโง่เง่าไร้ความคิดไร้สมอง
ยกเว้นแต่ว่าจะรู้ตัวแล้วว่าเลือกตั้งครั้งนี้อย่างไรก็ไม่ได้เก้าอี้ แต่ฉวยโอกาสช่วงเลือกตั้งและส่งผ่านอำนาจ วางแผนหลอกด่าสถาบัน แซะสถาบันแบบง่ายๆ ที่กึ่งจะถูกกฎหมาย โดยแอบแฝงเข้าไปกับการหาเสียงและออกสื่อฟรีๆ เท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ผมก็มองว่า “เป็นไปได้สูงมาก”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี