น่าเป็นห่วงว่า เมื่อคน “หมกตัว” อยู่กับโซเชียลมีเดียมากๆ จะติดนิสัยอ่านน้อย คิดตื้น หยาบคาย ร้ายกาจใส่กัน เมามันทางอารมณ์และวาจา จิตใจหยาบช้า และสติปัญญาถดถอยมากขึ้นเรื่อยๆ ไหลไปตาม “อุปทานหมู่” เห็นอะไร “ด่าไว้ก่อน” รู้หรือไม่รู้ ก็ “มีความเห็น” อ่านหรือไม่อ่าน ก็ “แสดงภูมิ” ได้ ราวกับรู้แจ้งเห็นจริง ยกตัวอย่างเช่น
1) ตัดต้นไม้ หรือฆ่าต้นไม้
วันที่ 21 มี.ค. 2561 เพจเครือข่ายต้นไม้ในเมือง : Thailand Urban Tree Network ได้เผยแพร่ภาพต้นไม้บนถนนสายหนึ่งใน อ.สบปราบ จ.ลำปาง ที่ถูกตัดจนเหลือแต่ลำต้น โดยในโพสต์ระบุว่า
“ท่านคะ ตัดแบบนี้เพื่อ? ขอถามดังๆ กับท่านรองอธิบดีกรมทางหลวง ถนนในอำเภอสบปราบ จ.ลำปาง สายไฟก็ไม่มี พื้นที่รอบๆ ก็โอเค ต้นไม้ใหญ่จนอ้วนแล้ว ทำไมต้องตัดแขนตัดขาเขาจนเหี้ยนค่ะ? #เสียใจมาก #ช่วยแชร์ประจาน #ขอถาม”
การห่วงใยต้นไม้ การตั้งคำถามเป็นจิตเจตนาที่ดี แต่คำว่า “ช่วยแชร์ประจาน” นี่ คืออะไร?
รู้ข้อเท็จจริงหรือยัง ฟังคำตอบกันก่อนดีไหม เราปลุกสำนึกคนให้รักต้นไม้ได้ แต่สิ่งที่ควรยับยั้งชั่งใจ คือ การประจาน โดยปราศจากข้อเท็จจริง นี่คือพฤติกรร “ล้ำเส้น” ที่ต้องหยุดยั้ง
ในที่สุด นายธงชัย แก้วมงคล หัวหน้าหมวดทางหลวงสบปราบ กรมทางหลวง ชี้แจงว่า ภาพดังกล่าวเป็นการตัดแต่งต้นไม้ ไม่ใช่ตัดต้นไม้ทิ้งอย่างที่เป็นข่าว ซึ่งถนนพหลโยธิน ช่วง อ.สบปราบ จะมีต้นจามจุรี หรือต้นฉำฉาเป็นส่วนใหญ่ ปลูกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 ต้นไม้เหล่านี้จะขึ้นแซมต้นมะฮอกกานีบ้าง ต้นมะรุมป่าบ้าง เนื่องจากปลูกกันถี่เกินไปต้นไม้เกิดการแย่งกันโต กิ่งก้านจึงสูง ทั้งนี้ เวลามีลมพัดจะทำอันตรายกับรถยนต์ รวมทั้งประชาชนที่สัญจรข้างทาง จึงมีนโยบายตัดตอนกิ่งลงให้เหลือประมาณ 5 เมตร และให้มันแตกพุ่มใหม่ โดยเอาส่วนที่ผุทิ้ง บางทีกิ่งก้านก็ต้องตัดแต่งใหม่ เพื่อให้แตกพุ่มใหม่ ไม่ได้ตัดทิ้งทั้งหมด นอกจากบางต้นที่อันตรายต่อโครงสร้างทาง ติดกับไหล่ทาง ห่างกันไม่ถึง 1 เมตรก็จะตัดทิ้ง แต่ถ้าอยู่ในส่วนร่องทาง กว่า 1 เมตร ก็ตัดเพื่อให้แตกกิ่งใหม่
นายธงชัยอธิบายด้วยว่า ปัจจุบันถนนพหลโยธิน ช่วง อ.สบปราบ มี 8 ช่องจราจร ร่องกลางถนนจะปลูกต้นสน ส่วนร่องทางระหว่างทางหลัก (Main Road) กับทางขนาน (Frontage Road) ส่วนใหญ่มักจะเป็นต้นฉำฉา มีต้นมะฮอกกานีอยู่ประปราย ก่อนหน้านี้เคยตัดแต่งต้นไม้ บริเวณขาขึ้นไปยังจังหวัดลำปาง เหลือประมาณ 5 เมตร ขณะนี้กำลังแตกใบ ก่อนที่จะตัดแต่งต้นไม้บริเวณขาล่องไปยังกรุงเทพมหานคร อย่างไรก็ตาม ตนได้สั่งให้ลูกน้องหยุดตัดแต่งต้นไม้ดังกล่าวเอาไว้ก่อน ซึ่งยังมีอีกหลายจุดที่จำเป็นต้องตัด โดยเฉพาะจุดกลับรถ และท้องโค้ง
เห็นไหมครับ คนทำก็ทำตามหน้าที่ บนพื้นฐานของการดูแลความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนน แบบ “รู้จักต้นไม้” คนแชร์ คนด่า รู้อะไร? เช่นนี้แล้ว ควรสร้างอุปนิสัยใหม่ ให้แก่สื่อสังคมออนไลน์ไหมครับ
2) หมาบ้า ไม่น่ากลัวเท่าคนบ้าหมา
กรณีนี้ สืบเนื่องมาจากนโยบาย “เซตซีโร่หมา” ที่ออกมาอย่างคลุมเครือ และส่งต่อๆ กันในสื่อสังคมออนไลน์อย่างคลุมเครือเริ่มเอาเหตุการณ์วางยาหมาที่นครศรีธรรมราช และที่อื่นๆ มาผูกกับเรื่องนี้ โดยไม่แน่ชัดว่า เป็นการ “วางยาเบื่อ” (ซึ่งทำให้สัตว์ทรมานมากก่อนเสียชีวิต) หรือให้ยาประเภท “ทำให้ซึม” ก่อน แล้วจึงให้ยาฆ่า (ซึ่งทางวิชาการเรียกว่า การุณยฆาต)
มีการเผยแพร่คลิปกลุ่มคนรักหมาไปพบกับเจ้าหน้าที่ เรียกร้องให้หยุดการฆ่าหมา โดยให้ “คัดกรอง” เสียก่อนว่า หมาตัวใดติดเชื้อ ตัวใดไม่ติด แทนการ “ฆาตกรรมหมู่”
แน่นอน ภาพที่ฝ่ายเรียกร้องเอาแต่พูด แต่ตะโกนตะเบ็งเซ็งแซ่ เจ้าหน้าที่พูดยังไม่ทันจบประโยค ก็พูดแทรก ก็ใช้เสียงดังๆ ของ
คนหมู่มาก กดดัน โห่ฮา อะไรทำนองนั้น เป็นภาพที่คนกลุ่มอื่นๆ อาจ “รับไม่ได้” และตั้งคำถามว่า “คนพวกนี้มันเป็นอะไรมากไหม” จนนำมาสู่คำพูดที่ว่า “หมาบ้า ไม่น่ากลัวเท่าคนบ้าหมา”
หยุดแบ่งฝ่าย แล้วหันมามอง “ความห่วงใย” ของแต่ละกลุ่มกันเถอะครับ
► ฝ่ายเจ้าหน้าที่ มีหน้าที่ควบคุมกันเฝ้าระบาด ป้องกันการแพร่ระบาดใช่ไหมครับ เราทุกคนจึงควรสนับสนุนการทำหน้าที่ของเขา แต่เจ้าหน้าที่ก็ต้อง “ทำงานร่วม” กับภาคประชาสังคมและกลุ่มต่างๆ ด้วย แน่นอน กฎหมาย พ.ร.บ.ทารุณกรรมสัตว์ ให้ความคุ้มครองการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่อยู่แล้ว ไม่ต้องเถียงกัน แต่หันหน้ามาถามกันและกันว่า “ผม/ฉัน ช่วยอะไรคุณได้ไหม” หรือ “เราช่วยอะไรกันได้บ้าง”
► กลุ่ม “คนรักสุนัข” ที่ไปพบเจ้าหน้าที่ เขาก็มิใช่ ผู้ร้าย” ที่ใจจืดใจดำ ห่วงหมามากกว่าห่วงคนสักหน่อย เขารู้ว่ามีการระบาดของโรคพิษสุนัขบ้า เขารู้ว่าเราต้องร่วมมือกันกำจัดพาหะของโรค และควบคุมการแพร่ระบาด แต่เขาขอแค่ว่า “คัดกรองให้ถี่ถ้วน” ก่อน “ฆาตกรรมหมู่” ได้ไหม การป้องกันและควบคุมโรคนั้น ทำได้ พร้อมๆ กับการรักษาหลัก “เมตตาธรรม” ต่อสัตว์
► “ให้คนกลุ่มนี้ เอาหมาไปเลี้ยงกันคนละตัวสองตัวสิ” ก็เป็นอีกวาทกรรมหนึ่ง ที่ใช้กันมาก อันที่จริง การออกมาเรียกร้องให้กระบวนการจัดการ เป็นธรรมต่อสุนัขหรือแมวที่ไม่ใช่พาหะของโรค ยังมีชีวิตอยู่ต่อได้ ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายจนถึงขั้นต้องผลักภาระไปว่า “รักนัก มึงก็เอาไปเลี้ยงกันสิ” เสมอไปใช่ไหมครับ ฟังเขาให้เข้าใจ แล้วขั้นต่อมาก็ค่อยคุยกันว่า เมื่อคัดกรองหรือคัดแยกหมานำเชื้อกับหมาไม่นำเชื้อได้ถี่ถ้วนแล้ว หมาติดเชื้อการุญฆาตได้ใช่ไหม คงไม่เก็บไว้ให้แพร่เชื้อออกไปโดยไม่แยแสสนใจความปลอดภัยของคนและสัตว์อื่นหรอกนะครับ แต่ตัวที่ไม่ติดเชื้อ จากนี้จะบริหารจัดการกันอย่างไร ก็คุยกัน (ให้) ได้ โดยไม่ต้องผลักไสว่า มึงรัก มึงเลี้ยงสิ กูไม่รัก หรือกูกลัว มันนำโรคร้ายตายสถานเดียวมาให้ ดังนั้น ต้องฆ่ามัน แบบที่ใช้อารมณ์ต่อกันอยู่ในโซเชียลมีเดียเลย
► การจัดการกับปัญหานี้ จึงต้องทำหลายๆ มาตรการคู่กันไป คือ
1.สำรวจประชากรหมาแมวจรจัด แล้วจัดการทั้งเรื่องสวัสดิภาพสัตว์ละความปลอดภัยของมนุษย์
2.ตัดวงจรการเพิ่มจำนวนด้วยการทำหมัน และวงจรการแพร่ระบาดของการแพร่เชื้อโรค ด้วยการให้วัคซีน ซึ่งสองกระบวนการนี้มี “ต้นทุน” สังคมพร้อมจะ “ลงทุน” ไหม หรือจะใช้วิธี “ฆ่า” ก็มาหาข้อสรุปกันให้ได้
3.หาบ้านให้อยู่ หาผู้อุปการะ นั้นนี้ดีแน่
4.นับจากนี้ สัตว์ทุกตัวต้องมีเจ้าของ ซึ่งล่าสุด นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ ประธานกรรมาธิการ (กมธ.) การสังคม กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แถลงว่า จากกรณีที่มีการระบาดของโรคพิษสุนัขบ้าและมีข่าวว่าจะมีการจัดเก็บภาษีผู้เลี้ยงสุนัขและแมว ทาง กมธ.ไม่เห็นด้วยที่จะมีการจัดเก็บภาษี แต่สนับสนุนให้มีการนำสุนัขและแมวทุกตัวมาขึ้นทะเบียน ดังนั้น ทาง กมธ.จึงได้เสนอร่าง พ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ ฉบับที่....พ.ศ..2557 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ในการจัดสวัสดิภาพสัตว์และความรับผิดชอบของเจ้าของสัตว์ รวมถึงการรักษาสภาวะความเป็นอยู่ที่เหมาะสมของสัตว์ และประชาชนในท้องถิ่น ให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่และอำนาจออกข้อบัญญัติท้องถิ่นกำหนดให้เจ้าของสัตว์นำสัตว์เลี้ยงมาขึ้นทะเบียน เพื่อที่จะได้ทราบจำนวนของสัตว์เลี้ยง ทั้งนี้เพื่อวางมาตรการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
โดยในวันที่ 28 มีนาคม จะเปิดทำประชาพิจารณ์เพื่อประกอบการนำเสนอร่างพ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว เพื่อนำเสนอต่อ สนช.ซึ่งคาดว่ากฎหมายฉบับจะสามารถบังคับใช้ในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมนี้ หากร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ออกมาเจ้าของสัตว์ต้องนำสัตว์ไปขึ้นทะเบียน รวมทั้งสัตว์ที่อยู่เร่ร่อนขณะนี้จำนวน 1 ล้านตัว ซึ่งเวลานี้ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ซึ่งกำหนดไว้ในกฎหมาย ให้ทางท้องถิ่นจะเข้าไปดูแลและนำไปขึ้นทะเบียน หากใครอยากจะนำไปเลี้ยงก็ต้องนำไปจดทะเบียนก่อน หากสัตว์ดังกล่าวไปกัดคนอื่นก็มีเจ้าของรับผิดชอบ ซึ่งจะทำให้ปัญหาที่เกิดขึ้นเวลานี้หมดไป
และขอแถมท้ายด้วยเรื่องนี้
3) พรรคเก่า-พรรคใหม่ คนรุ่นเก่า คนรุ่นใหม่
ทันทีที่ระฆังทางการเมืองเริ่มเคาะ ด้วยการที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดให้มีการจดแจ้งจองชื่อพรรคการเมือง สื่อก็หันไปสนใจ “พรรคการเมืองใหม่ๆ” และสร้างประเด็น “พรรคเก่า-พรรคใหม่” กับ “คนรุ่นเก่า-คนรุ่นใหม่” ขึ้นมา ราวกับว่า พรรคการเมืองใหม่ๆ เท่านั้นที่ดี คนรุ่นใหม่เท่านั้นที่เป็นความหวัง ประกอบกับพรรคใหม่บางพรรค ก็ใช้ประเด็นนี้เป็น จุดขาย” ของตัวเอง
ผมคิดว่าเรื่องนี้ จะคิด มอง และชี้นำกันอย่างตื้นเขินเช่นนั้นไม่ได้ คุณภาพของคน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเขาเป็นคนรุ่นเก่าหรือเป็นคนรุ่นใหม่ แต่เขามีสติปัญญา สามัญสำนึก และคุณธรรมจริยธรรมเพียงใดต่างหากเล่า
บ้านเมืองและการเมือง ไม่อาจขับเคลื่อนโดยคนรุ่นหนึ่งรุ่นใดได้
คนรุ่นเก่ามีประสบการณ์ ผ่านทั้งโอกาสและวิกฤติในการทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองมาแล้ว รู้งาน ทำเป็น ขณะที่คนรุ่นใหม่ มี “ไฟ” ที่จะทำงานเพื่อประเทศชาติและส่วนรวม มีอุดมการณ์และวิสัยทัศน์ใหม่ๆทันสมัย ทันโลก และมีประสบการณ์อีกแบบที่คนรุ่นก่อนนั้นไม่มี ยกเว้นบางคนที่เอาแต่ “หมุนรอบตัวเอง” หลงใหลในอุดมการณ์ของตัว คิดแต่จะบำบัดความอยากความปรารถนาของตัวเองเท่านั้น ที่ “อินดี้” เกินกว่าจะเลือกเป็น “ตัวแทน” ไปทำงานแทนได้
ประเทศชาติต้องการทั้งพลังทางสติปัญญา ศีลธรรม จิตอาสา และประสบการณ์ของคนเหล่านี้ ผนึกผสานกัน เพื่อ “แก้ปัญหา” ของประเทศชาติและของประชาชน “ไปด้วยกัน”
สื่อมวลชน ซึ่งเป็น “ตัวกลาง” ของการนำเสนอ ควรชี้นำไปในทางที่ว่า “คุณจะทำงานกับคนอีกรุ่นที่อาจมีอุดมการณ์และมุมมอง หรือภาพฝันทางการเมืองที่ต่างไปจากคุณได้อย่างไร” มากกว่าจะใช้คำว่า พรรคเก่า พรรคใหม่ คนรุ่นเก่า คนรุ่นใหม่ มาแบ่งแยก เพื่อสร้าง “ราคา” ให้แก่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด และไป “กดราคา” ของอีกฝ่ายหนึ่งลงมา
ไม่เพียงแค่เรื่อง “เก่า-ใหม่” เท่านั้น แต่เรื่องของการ “คิดแบบยึดติดกับขั้วข้าง” บางครั้งก็สร้าง “ปัญญาหมาๆ”ขึ้นมาในมุมมองและการคิดของคนเราได้
ยกตัวอย่าง บนเวทีเสวนาหัวข้อ “อนาคตประเทศไทยไปทางไหน” ที่มี นายสุทธิชัย หยุ่น เป็นผู้ดำเนินการเสวนา และมีนายจุลภาส หรือทอม เครือโสภณ เป็นผู้ดำเนินรายการร่วม และมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล, คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และนายพริษฐ์วัชรสินธุ์ (ไอติม หลานชายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) เป็นแขก
จังหวะหนึ่ง นายสุทธิชัย เปิดประเด็นถามนายธนาธรกับนายพริษฐ์ ในเชิงว่าพรรคใหม่ๆ ไม่ได้ “สร้างภาระอะไร” ไว้ให้แก่ประเทศ ซึ่งเป็นการ “ชวคำถามป้อนให้นายธนาธร” เป็นกรณีพิเศษ แต่เวลาเดียวกันนายสุทธิชัยกลับชี้ว่า นายพริษฐ์มีภาระทางนามสกุล จนนายพริษฐ์ต้องแย้งว่า ผมนามสกุล “วัชรสินธุ์” ครับ โดยที่สุทธิชัยไม่ได้จี้ไปที่นามสกุล “จึงรุ่งเรืองกิจ” มากเท่ากับจี้นายพริษฐ์ ที่เหมือนมีนามสกุลที่สองว่า “เวชชาชีวะ” อย่างไรอย่างนั้น
หนักหนากว่า คือกิริยาและประเด็นของนายทอม เครือโสภณ ที่เมื่อนายพริษฐ์ได้กล่าวถึง 3 ประเด็น ที่ตนมองว่า จะเป็นมิติใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์รุ่นใหม่ นายทอมก็แทรกขึ้นว่า appreciate มากเลย แต่อยากฝากไปหน่อยได้ไหมว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้า หากพรรคประชาธิปัตย์ชนะนี่ ไม่เป็นไร แต่ถ้าแพ้ ช่วย “แพ้ให้เป็น” หน่อยได้ไหมทำเอานายพริษฐ์มีสีหน้ากระอักกระอ่วนต่อคำพูดและท่าทีดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ได้ตอบนายทอม ซึ่งพยายามไม่ให้ตอบ ดีว่านายสุทธิชัยสั่งให้นายทอมหยุด เพื่อให้นายพริษฐ์ตอบ ซึ่งนายพริษฐ์ตอบว่า
“ผมยืนยันว่า พรรคประชาธิปัตย์ยุคใหม่ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า จะเคารพสิทธิและเสียงของประชาชน เรื่องอดีตผมอาจจะไม่รู้เยอะเท่าทุกท่านในที่นี้ แต่ถ้าจำไม่ผิด การเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ปี 2554 แต่การชุมนุมที่หลายคนมองว่า นำไปสู่การรัฐประหารนั้น เกิดขึ้นในปี 2556 ซึ่งไม่ได้เกิดจากการแพ้การเลือกตั้ง แต่มาจากการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อป้องกันการกระทำอะไรของพรรคในสมัยก่อน เพราะผมไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในนั้น ผมแค่ยืนยันได้ว่า ในอนาคต เราจะไปในทิศทางไหน”
ผมคิดว่า นายทอมไม่มีมารยาทในการเป็นผู้ดำเนินรายการร่วม และมี “กิริยา” ที่แย่
นายทอมยังมี “ทัศนคติ” ที่ไม่ใช้ปัญญาพื้นฐานรองรับ เพราะคำว่า “แพ้ไม่เป็น” นั้น แค่ข้อมูลพื้นฐานก็อธิบาย “ความจริง” ได้ว่าเป็นอย่างไร กล่าวคือ ในแง่ของการแพ้เลือกตั้ง ทันทีที่ประกาศผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ก็แถลงยอมรับความพ่ายแพ้ และในการโหวตเลือกนายกฯ ในสภา พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ได้เสนอชื่อนายอภิสิทธิ์ขึ้นแข่งขันกับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่อย่างใด นี่แปลว่าเขา “ให้เกียรติ” ซึ่งมันยิ่งการยอมรับในความเป็น “ผู้ชนะ” ของอีกฝ่ายหนึ่งเสียด้วยซ้ำ
ย้อนไปในคราวที่พรรคพลังประชาชนถูกยุบพรรค เพราะนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรค ถูกตัดสินว่าทุจริตการเลือกตั้ง เกิดการแยกตัวของสมาชิกในพรรคไปอยู่พรรคใหม่ ส่วนพลังประชาชนเดิมไปจัดตั้ง “พรรคเพื่อไทย” ขึ้นมา โดยไม่ได้เสนอชื่อคนในพรรคเพื่อแข่งขันเป็นนายกฯ จากการโหวตในสภา มีเพียงชื่อนายอภิสิทธิ์ กับ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก เท่านั้น ครั้นแพ้โหวต นายอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกฯ ตามกระบวนการ ใครกันล่ะ ที่ออกมาก่อม็อบ ด้วยเหตุผลบ้าๆ บอๆ ว่า “ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร” และม็อบนั้นก็ลุกลามบานปลายถึงขึ้นทำลายการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน และเผาบ้านเผาเมืองในปีต่อมา
นี่ต่างหากที่นายทอม เครือโสภณ ควรตั้งคำถามว่า เป็นการ “แพ้ไม่เป็น” ใช่หรือไม่!!
ถึงเวลาแล้วครับ ที่เราจะมองอะไร คิดอะไร และอยู่ร่วมกันบนพื้นฐานของการใช้สติปัญญาและเหตุผล เราอาจมีรสนิยมส่วนตัว
มีคนที่เรานิยมชมชอบเป็นการส่วนตัว แต่นั่นต้องไม่เกินเลยไปสู่การ “เกลียด” หรือใช้อารมณ์กับอีกฝ่าย และหาทาง“ทำลาย” แม้กระทั่งด้วยวิธีการโง่ๆ
ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ แมวหมา หรือว่าคน จงรักสิ่งเหล่านั้นด้วยสติปัญญา
อย่าแก้ปัญหาด้วยวิธีที่คนจะถามเอาว่า นั่นแก้ปัญหาหมาด้วยปัญญาหมาๆ กันรึ?!!?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี