ทันทีที่ปรากฏภาพรถขายสินค้าของบิ๊กซี ที่มีสินค้าและพนักงานขายอยู่บนรถเร่ เหมือน “รถกับข้าว” ของชาวบ้าน หรือ “รถพุ่มพวง” ที่เรียกกันทั่วๆ ไป เสียงวิจารณ์ในทำนอง “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” และ “จะไม่เหลือที่หากินให้คนจนบ้างหรือไง” ก็ดังกระหึ่มขึ้น
ผมว่า เรื่องนี้ ต้องมองให้ดีๆ คิดให้หลายๆ มุม แล้วจะเห็น “โอกาส” ไม่ได้เห็นแค่ “วิกฤติ”
เป็นธรรมดาของมนุษย์ทั่วไป ที่จะเห็น “ปัญหา”ก่อน “โอกาส”
พระไพศาล วิสาโล ท่านเคยให้คนดูผ้าขาวผืนหนึ่งแล้วถามว่า “เห็นอะไร”
ทุกคนตอบตรงกันหมด ว่าเห็นรอยเปื้อนสีดำ
พระไพศาล ท่านย้อนถามว่า “แล้วเห็นไหม ว่าสีดำมันแค่จุดเดียว ที่เหลือคือ ผ้าขาวผืนใหญ่”
กรณีนี้ก็เหมือนกันครับ ปัญหาที่พร่ำบ่นกันออกมามีแค่เรื่องเดียวคือ กลัวจะแย่งโอกาสการทำมาหากินของคนจน
วิธีคิดแบบนี้ เท่ากับว่า
1) ไม่คิดจะให้คนจนพัฒนา?
2) คิดว่าการห้ามคนอื่นที่ทำได้ดีกว่า คือการช่วยคนจน?
3) ในขณะที่ทำเป็นห่วงใยคนจนกันทั้งโซเชียลมีเดียนั้น ในโลกของความเป็นจริงก็เดินเข้าร้านสะดวกซื้อ ไม่ว่าจะเป็นเซเว่น ลอว์สัน 108 แฟมิลี่มาร์ท เป็นต้น เสาร์-อาทิตย์ก็ไปห้าง ไปท็อปซูเปอร์มาร์เก็ต ไปบิ๊กซี ฯลฯ
ถ้าเอาแต่ “เพ่งโทษ” กัน มันเจอ ปัญหา” กันทุกจุดนั่นแหละ
เช่น รถกับข้าว กระทบกับแม่ค้าในตลาดไหม? กระทบกับร้านโชห่วยบางแห่งที่ขายผักขายผลไม้ด้วยมั้ย?
อีกด้านหนึ่ง หมู่บ้านหลายแห่งก็ลำบาก บ้านจัดสรรจำนวนมากก็อยากให้รถพวกนี้วิ่งเข้าไป ซึ่งบางหมู่บ้านรถกับข้าวเข้าไม่ได้ เขากลัวจะกลายเป็นโจรเป็นขโมย ดังนั้น หากมีรถที่มีที่มา มีหลักแหล่งชัดเจนอย่างรถบิ๊กซี ก็นับว่าดีสำหรับผู้ซื้อในบางทำเลมิใช่หรือ
กระนั้นก็ตาม ไม่ได้แปลว่า งั้นปล่อยให้มันแข่งขันเสรีไปเลย ใครรอดก็รอด ใครไม่รอดก็หาอาชีพใหม่ทำไป แต่เป็นเรื่องที่ต้อง “ช่วยกันคิด” เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส
มาดูคนของทางการก่อน เขาคิดอย่างไรกันบ้าง
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่ากรณีที่บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) จัดสินค้าใส่รถกระบะขายตามหมู่บ้านเบื้องต้นได้สอบถามไปที่บิ๊กซีแล้ว ได้รับการชี้แจงว่า การดำเนินการนี้เป็นเพียงแนวคิดทดลองนำร่องของบิ๊กซีในการประกอบธุรกิจรูปแบบใหม่ และยังไม่ได้วางแผนทำจริงจัง ซึ่งทางกรมการค้าภายในจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพราะเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการดูแลระบบค้าปลีกให้เกิดความเป็นธรรม ทั้งรายเล็กและรายใหญ่และการกำกับดูแลผู้ประกอบการจะต้องเป็นไปตามกฎกติกาของกฎหมาย 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 และ พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2560
นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมการค้าส่ง-ปลีกไทย กล่าวว่า กรณีที่ผู้ประกอบการห้างค้าปลีกรายใหญ่จัดสินค้าใส่รถกระบะเร่ขายตามหมู่บ้านว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ต้องหาช่องทางการค้าเพิ่มขึ้น และการดำเนินการเช่นนี้ ย่อมส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยปัจจุบันผู้ประกอบการร้านค้าปลีกรายย่อยอ่อนแออยู่แล้ว เพราะไม่สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการรายใหญ่ได้ และทำให้สภาพการทำธุรกิจเปลี่ยนไป เช่น ตลาดชุมชนหายไป
นายสมชาย กล่าวว่า ที่ผ่านมาผู้ประกอบการรายย่อยปรับตัวเพื่อหาทางอยู่รอด โดยเปลี่ยนแปลงวิธีการขายสินค้า ด้วยการนำสินค้าใส่รถกระบะไปขายตามหมู่บ้าน เพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว แต่เมื่อมาเจอผู้ประกอบการรายใหญ่เข้ามาแข่งขันในตลาดนี้ คงทำให้รายย่อยทำธุรกิจต่อลำบาก และประเทศไทยมีผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่กี่รายและยังทำธุรกิจครอบคลุมครบวงจรทุกอย่าง ตั้งการผลิตจนไปถึงการขายปลีก
รวมทั้งในปัจจุบัน มีช่องทางการค้ามากขึ้น รวมถึงการขายผ่านออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมาก และกำลังกระทบกับร้านค้าขนาดเล็กเช่นกัน ซึ่งสภาพการแข่งขันในปัจจุบันทำให้ผู้ประกอบการเล็กหรือร้านค้าปลีกรายย่อยแข่งขันได้ยากลำบากมากขึ้น โดยเฉพาะการแข่งขันกับผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีความได้เปรียบในเรื่องเงินทุน เครือข่ายการทำธุรกิจ และกฎกติกาต่างๆ ที่เอื้อให้ผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่มีความได้เปรียบผู้ประกอบการร้านค้าปลีกรายย่อย ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นคงต้องถามภาครัฐว่าจะดำเนินการอย่างไร เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม และทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยที่มีอยู่ทั่วประเทศอยู่รอดได้
คราวนี้มาดูมุมมองของผมบ้าง
1) ปัญหาของเรื่องนี้ อยู่ที่ศักยภาพของการแข่งขันที่ไม่เท่ากัน แน่นอน ในโลกเสรีทางการค้า ควรให้มีการแข่งขันเสรี แต่แข่งไปก็มีพวกหนึ่งรอด พวกหนึ่งตาย พวกหนึ่งมีกำลังตั้งแต่ผลิตสินค้าเอง ต่อรองซื้อสินค้าลอตใหญ่ ได้ราคาถูกกว่า แต่เอาไปแข่งขันกับผู้ค้ารายย่อย รายย่อยก็กลายเป็นย่อยยับสิครับ
2) จึงต้องมี “การปกป้อง” คนที่มีกำลังน้อยกว่า แต่การปกป้องนั้นต้องไม่ “หยุดการพัฒนา” และการเรียนรู้ของพวกเขา โลกเปลี่ยนไปมากแล้ว หลายอาชีพก็ต้องล้มหายตายจากไปโดยไม่ได้รับการปกป้องใดๆ เลยก็เยอะใช่ไหมครับ
3) ภาครัฐต้องปกป้องไปพร้อมๆ กับการพัฒนา เช่น ใช้กฎหมายคุ้มครองที่มีอยู่ แต่เสริมด้วยการ “เพิ่มอำนาจการแข่งขัน” เช่น รวมกลุ่มรถกับข้าว ให้เข้าถึงสินค้า “ธงฟ้า”มารับไปขายได้ ไม่ใช่เปิดให้มีแต่ร้านธงฟ้า ซึ่งอีกด้านร้านธงฟ้าก็ฆ่าร้านโชห่วยทั่วไปอยู่ด้วย ก็ไม่เห็นเดือดร้อนอะไรกัน สุดท้ายก็ดึงร้านโชห่วยมาเข้าโครงการร้านธงฟ้า ทำไมไม่ใช้รูปแบบเดียวกันเข้ามาแก้ปัญหารถบิ๊กซีเคลื่อนที่นี้บ้างล่ะครับจะได้มีสินค้าราคาที่แข่งขันกับเขาได้ไปขายด้วย
4) แต่ที่ต้องทำก่อนสิ่งอื่นใด คือ สำรวจว่า“รถกับข้าว” หรือ “รถพุ่มพวง” มีมากน้อยขนาดไหนเขาดำเนินการกันอย่างไร เขาอยู่รอดกันได้อย่างไร ก่อนจะเอากลไกใดๆ ของรัฐเข้าไปช่วย ไปเรียนรู้กระบวนการทั้งหมดของเขาก่อนดีไหม จะได้ไปช่วยอย่างเข้าใจ ไม่ใช่ช่วยอย่างโง่ๆ
5) จากนั้น ลดโครงการประเภทโอนเงิน “เบี้ยหัวแตกแจกคนจน” เปิดช่องให้ข้าราชการชั่วๆ ทุจริต มาเป็นส่งเสริมอาชีพ โดยให้มีโอกาสเข้าถึงเครื่องมือหากิน เช่นรถกระบะ ได้ง่ายขึ้น มีสินเชื่อส่งเสริมอาชีพนี้จากรัฐ หรืออะไรก็ตามที่รัฐพอจะช่วยได้ ให้อาชีพนี้ทำกันได้ง่ายขึ้นสำหรับคนทั่วไปดีไหม
6) จากนั้น “จับคู่” ให้ ว่า โซนนี้ รับสินค้าเกษตรจาก “แปลงใหญ่” ตรงนี้ เกษตรอินทรีย์จากตรงนั้น โอท็อปจากตรงโน้น สินค้า GI จากตรงนั้น เอาไปเป็น “จุดเด่นจุดขาย” ที่ต่างกันออกไปจาก “ห้างค้าปลีก” ที่ลงมาเล่นในตลาดนี้ด้วยดีไหม ใช้เครือข่ายที่รัฐมีผูกโยงกันให้ดีๆ ทั้งผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ผู้บริโภค ซึ่งจะแก้ปัญหาราคาสินค้า ตกงาน ไร้อาชีพ ฯลฯ ไปในตัว
7) หรือจะให้ง่ายกว่านั้น ดึงบิ๊กซีเข้าโครงการ “ประชารัฐ” เอารถกับข้าวทั่วไป มาเป็นรถ “บิ๊กซีประชารัฐ”ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย บิ๊กซีเตรียมสินค้าให้ สร้างระบบให้ ออกแบบจัดรถให้ เลือกสินค้าให้ สอนเทคนิคการขายให้ เหมือนเป็นเฟรนไชส์เคลื่อนที่ หรือจะเป็น “ลูกจ้าง” ก็ว่ากันไปสิมีรัฐเป็นตัวกลางดูไม่ให้ใครได้เปรียบเสียเปรียบ
เรื่องนี้ จึงจะหมกมุ่นอยู่กับมุมแคบๆ แค่ว่า “แย่งงานคนจน” ต่อไปไม่ได้แล้ว
คนจนไม่เสียภาษี บิ๊กซีเขาจ่าย
บิ๊กซีจึงไม่ใช่ผู้ร้าย และคนจนไม่ใช่คนด้อยศักยภาพ
เอาพวกเขามาทำงานด้วยกัน เพิ่มยอดขายให้บิ๊กซีเพิ่มภาษีเข้ารัฐ คนจนเพิ่มพูนศักยภาพผ่านการทำงานร่วมกัน จัดร้านเป็น ทำบัญชีได้ ขายเก่งขึ้น น่าเชื่อถือ เข้าหมู่บ้านจัดสรรได้ โดยที่เขาตามได้จากเลขข้างรถกับบิ๊กซี ฯลฯ
เรื่องนี้จึงมีอะไรท้าทายการคิด มากกว่าการเล่นโปลิศจับขโมย เกลียดนายทุน รักคนจน
เพราะมีประชาชนผู้บริโภค ที่ต้องการความสะดวกสบายจากรถค้าขายพวกนี้ก็มีมากด้วยเหมือน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี