ชาวพม่าที่เคยเป็นนักเคลื่อนไหวประชาธิปไตยเมื่อ 30 กว่าปีก่อน กับผู้สื่อข่าวชาวพม่าที่คุ้นเคยกันมานานระบายความในใจว่า ประเทศพม่ากำลังได้ประธานาธิบดีคนใหม่ที่มีแนวโน้มจะทำให้การเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตยไม่ก้าวหน้า เพราะนักการเมืองไม่ได้พัฒนาไปตามภาวะสังคมในศตวรรษใหม่
“อู วิน มินต์ ที่ลาออกจากตำแหน่งประธานสภา จะได้เป็นประธานาธิบดีแทน อู ถิ่น จอว์ เพราะเขาเป็นผู้จงรักภักดีต่อ ดอว์ออง ซาน ซู จี” ผู้สื่อข่าวชาวพม่ากล่าวว่า คุณสมบัตินักการเมืองพม่าที่เป็นใหญ่ได้ต้องภักดีนางออง ซาน ซู จี และพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) อู วิน มินต์ ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายมหาชนและเคยร่วมเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยที่ถูกทหารปราบปรามอย่างเหี้ยมโหดเมื่อ วันที่ 8 ส.ค 1988 ที่เรียกกันติดปากว่า 888 ทมิฬ
อู วิน มินต์ ถูกจำคุกสามปีก่อนได้รับอิสรภาพ และร่วมหัวจมท้ายทางการเมืองกับพรรคเอ็นแอลดี เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานสภา หลังจากพรรคเอ็นแอลดี ชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งปี 2558 ส่วนอู ถิ่น จอว์ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่อยู่เคียงข้างนางออง ซาน ซู จี ตลอดเวลากว่า 18 ปีที่นางถูกกักตัวอยู่แต่ในบ้าน ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานาธิบดีพิธีการ ที่การบริหารของเขาอยู่ใต้ร่มเงาของ ออง ซาน ซู จี ที่สถาปนาตัวเองเป็นที่ปรึกษาแห่งรัฐ
อดีตนักเคลื่อนไหวทางการเมืองชาวพม่า กล่าวว่าเขาผิดหวังในนักการเมืองพม่าที่ถูกอำนาจเผด็จการครอบงำมานาน จนไม่มีโอกาสพัฒนาศึกษาวิทยาการยุคใหม่ ตลอดถึงบริหารการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ได้ล้ำหน้าไปมากแล้ว “ดอว์ออง ซาน ซู จี และนักการเมืองในพม่า ถูกปิดหูปิดตามานาน จนหลงอยู่กับอุดมการณ์ประชาธิปไตยในอดีต ดังนั้นเมื่อได้เป็นรัฐบาล เป็นฝ่ายบริหารทุกคนทำงานไม่เป็น ไม่มีความรู้ทั้งการเมืองและศาสตร์การปกครอง สส.พรรคเอ็นแอลดี ไม่กล้าอภิปรายในสภา ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากออง ซาน ซู จี....ชาวพม่านับล้านคนกำลังเผชิญปัญหาถูกไล่ที่ ถูกยึดที่ดินทำกินหลายล้านไร่ไปให้นายทุนพัฒนา2 ปีที่ผ่านมาสส.เอ็นแอลดี ตลอดถึงอู วิน มินต์ ซึ่งเป็นประธานสภาไม่ยกเรื่องนี้มาอภิปรายเลย ผมถึงบอกว่าดอว์ออง ซาน ซู จี และสส.เอ็นแอลดี มีแต่ทฤษฎี แต่ทำงานไม่เป็น” เขากล่าวด้วยว่า นอกจากอุปสรรคที่เกิดจากรัฐธรรมนูญพม่าซึ่งให้อำนาจทหารล้นฟ้า คุณภาพบุคลากรทางการเมืองพม่า คือต้นตอของปัญหาการพัฒนาการปกครองแบบประชาธิปไตย
ผู้สื่อข่าวชาวพม่ากล่าวว่า สังคมภายนอกมองว่า เศรษฐกิจรุ่งเรืองหลังจากเลือกตั้ง มันเป็นเพียงภาพลวงตา ที่บอกว่าเศรษฐกิจพม่าเติบโตปีละ 7-8 เปอร์เซ็นต์ ความจริงสิ่งเหล่านั้นเป็นผลพวงมาจากการค้า การลงทุน ตั้งแต่ยุครัฐบาลทหาร “ตัวอย่างเช่นที่กระทรวงพลังงานแถลงว่าปีนี้สหภาพพม่าส่งออกก๊าซธรรมชาติทำรายได้เข้าประเทศสูงถึง 3,100 ล้านดอลลาร์ หรือเท่ากับครึ่งหนึ่งของรายได้การส่งสินค้าออกทั้งหมด ความจริงก็คือนั้นเป็นโครงการและการลงทุนที่มีมาตั้งแต่รัฐบาลทหาร หรือแม้แต่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่กำลังดำเนินอยู่ส่วนใหญ่ได้ลงนามกันตั้งแต่ยุครัฐบาลทหาร แต่เพิ่งมาประโคมข่าวตอนนี้ เพราะบางประเทศมีกฎหมายห้ามไม่ให้ลงทุนค้าขายกับรัฐบาลทหาร”
รัฐธรรมนูญพม่าให้อำนาจกองทัพแต่งตั้งรัฐมนตรีและบริหารจัดการกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกิจการชายแดน ซึ่งเท่ากับทหารดูแลความมั่นคงและเศรษฐกิจเกือบทั้งหมด เพราะทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งก๊าซน้ำมัน ป่าไม้เหมืองหยก เหมืองพลอย ฯลฯ อยู่ในอำนาจบริหารจัดการของทหาร
ที่สำคัญรัฐยะไข่อยู่ติดกับอ่าวเบงกอล ที่เป็นทั้งจุดยุทธศาสตร์และแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งสินแร่ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ที่ต่างชาติหาทางแย่งกันเข้าไปตักตวง จนร่ำๆจะเกิดสงครามกลางเมืองเหมือนในซีเรีย ที่มหาอำนาจแย่งเส้นทางวางท่อก๊าซธรรมชาติแล้วอ้างสิทธิมนุษยชนอ้างประชาธิปไตยบังหน้า ประเทศตะวันตกนำโดยอียูกับสหรัฐอเมริกา สร้างสถานการณ์กวาดล้างโรฮิงญา เพื่อหาทางเข้ายึดรัฐยะไข่ไว้ในครอบครอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรัฐยะไข่ที่ผ่านมาเป็นที่ประจักษ์ว่า สคริปต์เรื่องกวาดล้างโรฮิงญา ถูกเขียนขึ้นเหมือนสคริปต์สงครามกลางเมืองในซีเรีย
แต่แตกต่างกันที่การประโคมข่าวกวาดล้างโรฮิงญา ทำให้จีนนำหน้าตะวันตกไปหลายก้าว เพราะขณะที่ตะวันตกโวยวาย กล่าวหา รัฐบาลพม่าว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โรฮิงญา จีนเดินหน้าพัฒนาการค้าการลงทุนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพม่า ตั้งแต่ท่าเรือ สนามบิน รถไฟ โดยเฉพาะรัฐยะไข่ใจกลางของปัญหา จีนได้สร้างท่อส่งก๊าซธรรมชาติและน้ำมันระหว่างจีน-พม่า โดยมีจุดเริ่มต้นที่เมืองจ้าวผิ่ว ในรัฐยะไข่ ผ่านเขตมาเกว เขตมัณฑะเลย์ และรัฐฉาน และเข้าสู่เขตเมืองหรุยลี่ ในมณฑลยูนานของจีน ท่อก๊าซในเขตพม่าความยาว 793 กิโลเมตร พร้อมสถานีแปรรูป 6 แห่ง นอกจากนี้ยังมีท่อน้ำมันขนานไปกับท่อก๊าซนี้ด้วย ความยาว 771 กม. ซึ่งก่อสร้างเสร็จสิ้นแล้ว ลำเลียงน้ำมันได้ปีละ 22 ล้านตัน
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นอกจากโครงการท่อส่งก๊าซ น้ำมัน และท่าเรือน้ำลึกแล้ว ยังมีการสร้างและพัฒนาโรงเรียน 45 แห่ง สถานีอนามัย 24 แห่ง ให้แก่นักเรียน 19,000 คน รวมถึงประชาชนกว่า 800,000 คนตามลำดับโครงการร่วมดังกล่าว ยังเสนอเงินช่วยเหลือ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการพัฒนารัฐยะไข่ นี่ไงคือสิ่งที่บอกว่าจีนล้ำหน้าตะวันตกและสหรัฐอเมริกา และรู้ไว้ด้วยว่าโครงการทั้งหมดไม่ได้เริ่มจากรัฐบาลเลือกตั้ง แต่ดำเนินการมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลทหาร แต่เปิดใช้งานในรัฐบาลนางออง ซาน ซู จี
นั้นคือสถานการณ์ปกครองประชาธิปไตยครึ่งใบแบบพม่า ต่อไปจะว่ากันเรื่อง ประชาธิปไตยครึ่งใบแบบไทยเพื่อให้คนรุ่นใหม่ร้อนวิชา ที่บอกว่าจะปฏิวัติกองทัพและอำนาจศาล ถอนราก คสช. ตลอดถึงยกเลิกกฎหมายคุ้มครองสถาบัน ได้สำเหนียกว่า มันเป็น ฝันกลางวัน เหมือนกับที่นางออง ซาน ซู จี ฝันจะปฏิรูปประชาธิปไตยในพม่า เพราะถ้าได้ศึกษาจะพบว่า พม่ากับไทยได้ถูกวางพื้นฐานทางความคิดจิตใจในการพัฒนาและการปกครองแบบประชาธิปไตยไม่เหมือนกัน
การปฏิรูปการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคมไทยได้วางรากฐานไว้ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ดังที่ Amitav Ghoshเขียนไว้ในหนังสือเรื่อง The Glass Palace ว่าพระเจ้าธีบอ แห่งราชอาณาจักรพม่าที่ถูกเนรเทศ ไปอยู่ในเมืองรัตนคีรี ตรัสกับข้าราชบริพารว่า “ดูซิพระเจ้าแผ่นดินสยามส่งทายาทข้าราชบริพาร ไปเรียนในประเทศยุโรป แต่ลูกๆ ของเราต้องเรียนหนังสือกับติวเตอร์อยู่แต่ในตำหนัก พระเจ้าแผ่นดินสยามเสด็จประพาสยุโรปประทับในพระราชวังแวร์ซาย ชมการแสดงโอเปร่าในกรุงเวียนนา แต่เราต้องอาศัยในที่ไม่ต่างจากเล้าหมู...”
จริงดังที่อามิตาฟ โฆต เขียนไว้ว่า รัชกาลที่ 5ทรงส่งพระราชบุตร พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชบริพารไปเรียนการทหาร การเมือง การแพทย์ วิศวโยธา ในประเทศอังกฤษ เดนมาร์ก เยอรมัน รัสเซีย ฯลฯ เพื่อนำความรู้มาพัฒนาประเทศ ดังที่ประวัตศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่า การปกครอง การยุติธรรม การทหาร การแพทย์ วิศวโยธาตลอดถึงโครงสร้างพื้นฐานรถไฟ ไปรษณีย์ ไฟฟ้าประปา ฯลฯ ล้วนแต่ได้รับการวางรากฐานการพัฒนา ด้วยพระปรีชาสามารถของพระราชบุตรและพระประยูรญาติรัชกาลที่ 5 อาทิ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ จอมพลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯกรมพระนครสวรรค์วรพินิต พลเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯกรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ฯลฯ
การพัฒนาประเทศไทยในทุกมิติต่อมา ล้วนต่อยอดมาจากพื้นฐานที่สถาบันพระมหากษัตริย์ได้วางไว้เมื่อกว่า 100 ปี ก่อนที่ได้ซึมซับเข้าสายเลือดเป็นพื้นฐานความคิดและจิตสำนึกในความเป็นชาติของคนไทย ซึ่งแตกต่างกับพม่าที่สถาบันกษัตริย์ถูกอังกฤษทำลายไปพร้อมกับวัฒนธรรมการเมืองการปกครอง แล้ววางรากฐานความคิดจิตสำนึก การเมืองการปกครองใหม่ที่คล้ายระเบิดเวลา หาจุดลงตัวไม่ได้ว่า ควรเป็นสังคมนิยมแห่งชาติ เป็นสหภาพ เป็นสหพันธรัฐ หรือประชาธิปไตยรวมศูนย์แบบพม่า
จึงเป็นบทเรียนที่คนรุ่นใหม่ต้องสำเหนียกว่าวันไหนแตะต้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ปฏิวัติศาล ลบล้างทหาร คือวันเริ่มต้นของความวุ่นวายที่หาจุดจบไม่ได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี