ตามที่ได้นำเสนอบทความเรื่องการพัฒนาการเมืองในคอลัมน์ “ปรีชา’ทัศน์” ในช่วงเวลาไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาบัดนี้ได้เกิดการเปิดเผยการทุจริตคอร์รัปชั่นในหลายหน่วยงานที่ค่อนข้างกระทบอารมณ์ของสังคมไทย ตั้งแต่งบสงเคราะห์คนจนของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯจนกระทั่งถึงการทุจริตเงินกองทุนเสมาพัฒนาอาชีพของกระทรวงศึกษาธิการ สองกรณีดังกล่าวนำไปสู่ความตื่นตัวของสังคมไทย ในปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นดังที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ฉะนั้น จึงถึงจังหวะเวลาที่สังคมควรจะได้พิจารณาปัญหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างเป็นระบบ และช่วยกันเสนอแนะวิธีการแก้ไข หรือลดความรุนแรงของปัญหา
ประการแรก ควรจะได้เห็นตรงกันเสียก่อนว่า ปัญหามะเร็งร้ายตัวนี้จะต้องแก้ทั้งระบบและคน นัยหนึ่ง ระบบที่ทำให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นในวงราชการ และ “คน” ผู้อ่อนด้อยทางศีลธรรมและจริยธรรม ขาดจิตสำนึกของผลประโยชน์สาธารณะ จะต้องพิจารณาทั้งระบบและคนผู้มีบทบาทในระบบ
ในสังคมไทย หรือในระบบราชการ ได้พยายามจัดระบบเพื่อป้องกัน/ลดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น เช่น ระบบการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดิน จะต้องใช้จ่ายตามจุดประสงค์ของการอนุมัติงบประมาณดังกล่าว และจะต้องมีรายงานการใช้จ่ายงบประมาณ หรือการจัดซื้อจัดจ้าง ก็จะต้องมีกฎระเบียบควบคุม กำกับการปฏิบัติงาน เป็นต้น
แต่กรณีการใช้จ่ายเงินกองทุนเสมาพัฒนาอาชีพ และงบสงเคราะห์คนจน มีระบบการควบคุมการใช้จ่ายเงินอย่างไร จึงเกิดการยักยอกเงินดังกล่าวมาเป็นเวลาหลายปีสาธารณชนต้องการทราบข้อเท็จจริงประเด็นนี้เป็นเบื้องต้น
อย่างไรก็ตาม ในประเด็นการพิจารณาปรับปรุงแก้ไข (ปฏิรูป) ระบบราชการเพื่อลดปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบควรจะพิจารณาจากภาพกว้างอย่างเป็นระบบ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างระบบอุปถัมภ์กับการทุจริตประพฤติมิชอบ, ความสัมพันธ์ระหว่างรายได้ของข้าราชการ (ระบบการจัดขั้นบันไดของเงินเดือนและระบบสวัสดิการ) กับสภาพเศรษฐกิจของสังคม,ระบบการควบคุมการใช้จ่ายงบประมาณซึ่งน่าจะมีทั้งประเด็นการออกกฎระเบียบ ประเด็นการใช้ดุลยพินิจ และประเด็นความล้าหลัง (ไม่ทันสมัย) ของกฎระเบียบ และควรที่จะมีหน่วยงานที่คอยวิเคราะห์ประสิทธิภาพของการทำงาน (ในแง่การใช้เงินคุ้มค่าและตรงประเด็นปัญหา) ประจำกรมต่างๆ
ระบบ/และหน่วยงานดังกล่าวข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างของการพิจารณาระบบการบริหารในมุมกว้าง นอกเหนือจากที่เรามีหน่วยงาน เช่น ป.ป.ช. และ ป.ป.ท. อยู่แล้ว และทั้งสองหน่วยงานนี้ก็ยังมีช่องว่างให้เติมเต็มได้อีก
ที่สำคัญ นอกจากการแก้ไขปรับปรุง พัฒนาระบบความสำคัญเรื่อง “คน” น่าจะมาอันดับหนึ่ง ระบบจะดำเนินไปได้ก็เพราะคน และแม้ไม่มี “ระบบ” (กลไก, ระเบียบแบบแผนที่กำหนดไว้) หาก “คน” มีทั้งคุณธรรม ความเฉลียวฉลาด ปฏิภาณไหวพริบ ก็สามารถจัดการกับปัญหาต่างๆ ของชีวิตได้ และจัดระบบขึ้นรองรับภายหลัง สติปัญญาและทักษะความสามารถของคนผู้ได้ชื่อว่า “Homo Sapiens” (มนุษย์ผู้มีปัญญา) จึงมีความสำคัญอันดับหนึ่ง และการสร้างคนก็สมควรที่จะยึดถือ กรอบของมรรคแปด (คือ ศีล สมาธิ ปัญญา) เป็นแกนหลัก โดยเพิ่มจุดเน้นสำหรับยุคสมัยที่จะต้องปรับตัวเป็นสังคม-การเมืองแบบประชาธิปไตยและยุคไอที
ปัญหาของเราก็คือ ผู้กำหนดนโยบายทางการศึกษา (โดยเฉพาะทางหลักสูตร-กระบวนการเรียนการสอน) อาจไม่เข้าใจประเด็นของการสร้างพลเมืองให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตของสังคมประชาธิปไตย ซึ่งในบริบทของไทยน่าจะปรับให้ใกล้เคียงกับ “ธรรมาธิปไตย” คือสร้างพลเมืองให้มีธรรม และวิถีทางของการเมืองแบบประชาธิปไตย ที่มีเหตุผล/คุณธรรม-ความรู้ ในรัฐศาสตร์ (สาขาพฤติกรรมศาสตร์) จึงเรียกแนวคิดนี้ว่า “วัฒนธรรมการเมือง” (Political Culture)
ที่เรียกว่า “วัฒนธรรมทางการเมือง” เพราะจะประกอบด้วยวิถีชีวิตของสังคมการเมือง (ระบบคุณค่า, อุดมการณ์,การประพฤติปฏิบัติ) ที่เคารพต่อหลักเสรีภาพ ความเสมอภาค ความยุติธรรม ตลอดจน กระบวนการตัดสินใจที่ยึดทั้งเหตุผลและเสียงส่วนใหญ่ หรือนัยหนึ่ง เป็น “สุภาพบุรุษ” ในสังคมการเมือง มิใช่ “นักเลงอันธพาล” หรือทำตัวเสมือน “เจ้าพ่อ”หรือผู้มีอิทธิพลทางการเมือง แต่ต้องเคารพกฎหมายของบ้านเมืองเท่าเทียมกับประชาชนทุกๆ คน
วัฒนธรรมประชาธิปไตย เช่นนั้น ยังไม่เป็นปทัฏฐาน(Norm) ของสังคมไทย หากเป็นปทัฏฐานแนวประพฤติปฏิบัติสำหรับนักการเมือง โดยส่วนรวมแล้ว คงไม่เกิดวิกฤติที่นำไปสู่การยึดอำนาจเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2557
และหาก “วัฒนธรรมประชาธิปไตย” ได้ฝังเป็นอุปนิสัยของเยาวชนไทย เชื่อแน่ได้ว่าปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นจะลดน้อยลงอย่างน่าพอใจ เพราะความตื่นตัวของสังคมและของคนรุ่นใหม่ ด้วยระบบ “โซเชียลมีเดีย” ดังปัจจุบัน จะสร้างกระแสกดดันมิให้นักการเมือง/และข้าราชการสมคบกันโกงชาติ โกงแผ่นดินดังที่ได้กระทำกันมาในอดีต
การปฏิรูปการศึกษาในยุค คสช.จึงควรให้ความสำคัญต่อการสร้าง วัฒนธรรม “ธรรมาธิปไตย” สำหรับพลเมืองทุกคน ทั้งในโรงเรียนและนอกระบบโรงเรียน สร้างทั้งความประพฤติ ให้ทั้งความรู้ ความเข้าใจในวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย ที่มีธรรมะเป็นตัวนำ
จึงควรที่จะได้ปฏิรูปกระบวนการเรียนการสอนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อสร้างพลเมืองเพื่อธรรมาธิปไตย ทั้งในระบบโรงเรียนและนอกระบบโรงเรียน ควรจัดให้มีโรงเรียนสอนศาสนา (พุทธ และอื่นๆ) ในวันเสาร์-วันอาทิตย์ เพื่อสอนศาสนาภาคเช้า (หรือบ่าย) และวิชาการอื่นๆ-คณิตศาสตร์ ภาษา ฯลฯ ควรจัดการศึกษาผู้ใหญ่ในหมู่บ้านชนบทตามวิถีทาง จัดกลุ่มเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคม สาธารณสุข (Self-help และ Self-development) เพื่อนำไปสู่ “Political Literacy” (การสร้างความเข้าใจ ก. ข. ค. ของการเมือง และระบบการเมือง) หลักสูตรดังกล่าวน่าจะป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่ทุจริตการใช้จ่ายเงินเพื่อฝึกอาชีพให้ผู้ตกงานและยากไร้
อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปการศึกษาสำหรับมวลชนเพื่อสร้างสังคมธรรมาธิปไตย อาจเป็นฐานสำคัญเพื่อรองรับสังคมธรรมาธิปไตยในอนาคต แต่กุญแจดอกสำคัญที่จะก่อให้เกิดมรรคผลคือ กลุ่มบุคคล (ซึ่งอาจมีเพียงจำนวนหนึ่งเป็นส่วนน้อยของมวลชน) ซึ่งจะไต่เต้าขึ้นไปเป็นผู้นำของสังคมทั้งในวงราชการ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และสังคม ที่สำคัญคือ ภาคการเมือง จะมีกลวิธีสร้างผู้นำเหล่านี้อย่างไร เป็นประเด็นที่น่าคิดอย่างยิ่ง
ดร.วิชัย ตันศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี