ขอชมเชยและเห็นด้วยกับ คสช. ที่ยับยั้งชั่งใจ ในข้อเสนอให้ใช้มาตรา 44 ช่วยเหลือเอื้อประโยชน์บริษัทมือถือเอไอเอสและทรู โดยไม่ด่วนใช้มาตรา 44 ตามข้อเสนอที่ถูกชงขึ้นไป มิฉะนั้น คงต้องถูกกล่าวหาว่า คสช.กำลังทุจริตโดยนโยบาย ไม่ต่างอะไรกับสมัยทักษิณ ที่เมื่อมีอำนาจรัฐก็ไปเอื้อประโยชน์กับบริษัทมือถือ
เหตุใด จึงไม่ควรใช้มาตรา 44 เอื้อประโยชน์แก่มือถือทั้งสองราย
1. ในการประมูลคลื่น 900 MHz เอกชนทั้งสอง ได้เสนอตัวเข้ามาประมูลแข่งขันเอง โดยไม่มีใครบังคับ
เมื่อทราบผลการประมูล ก็แสดงความยินดีที่ได้คลื่นไปบริหารจัดการ แสวงหาผลประโยชน์
ในทางธุรกิจ เอกชนทั้งสองเป็นผู้ประกอบการโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ มีประสบการณ์ยาวนาน ย่อมวางแผนทางธุรกิจมาเป็นอย่างดี ว่าเมื่อได้คลื่นความถี่และใบอนุญาตประกอบกิจการ 4G ได้โอกาสใช้สมบัติของแผ่นดินไปบริหาร จะแสวงหารายได้และผลกำไรอย่างไร มหาศาลแค่ไหน จากนั้นก็คิดคำนวณภาระต้นทุน ค่าขยายโครงข่าย ค่าทำการตลาด ค่าใบอนุญาตจะจ่ายได้เท่าไหร่ที่จะยังมีกำไรเป็นที่พึงพอใจ จึงยินดียื่นประมูล เพื่อแบ่งกำไรที่จะได้ในอนาคต จ่ายให้กับรัฐ ตอบแทนเป็นค่าขอใช้ทรัพยากรของประเทศ
2. เมื่อได้คลื่นความถี่ไปทำธุรกิจแล้ว การประกอบกิจการของทั้งเอไอเอสและทรู ก็ไม่ได้ย่ำแย่
ปี 2560 เอไอเอสมีกำไรสามหมื่นล้านบาทเศษ
ทรูก็มีกำไรสองพันกว่าล้านบาท
ขณะที่สถานการณ์ผู้บริโภคยุค 4.0 ก็นิยมใช้บริการอินเตอร์เนตผ่านมือถือ 4G เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด
ทั้งหมด ยังไม่ปรากฏเหตุผลความจำเป็นอันใดที่จะอ้างขอความช่วยเหลือจากรัฐ
หรือแม้แต่ในกรณีถ้าขาดทุน รัฐก็ยังไม่มีหน้าที่ต้องเข้าไปช่วยอุ้มเอกชนยักษ์ใหญ่แบบสองรายนี้ เพราะหากได้กำไรเกินที่เขาคาดหมายไว้ เขาก็ไม่ได้เพิ่มค่าใบอนุญาตตอบแทนให้แก่รัฐเช่นกัน
3. จากการคำนวณของทีดีอาร์ไอ พบว่า หากรัฐยืดเวลาการชำระค่าใบอนุญาตงวดที่สี่ ซึ่งเป็นงวดสุดท้ายออกไปจากจากเดิมต้องจ่ายในปี 2563 รายละกว่าหกหมื่นล้านบาทเศษ ผ่อนปรนเป็นทยอยจ่าย 5 งวด 5 ปี ตกงวดละประมาณ 12,800 ล้านบาท ซึ่งปกติ หากกรณีผิดนัดชำระ เอกชนจะต้องเสียค่าปรับ 15%
แนวทางข้อเสนอข้างต้น จะคิดดอกเบี้ยจากเอกชนแค่ 1.5% อ้างว่าเทียบเท่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของแบงก์ชาติ ซึ่งดูจะแปลก เพราะอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้น มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการนี้ แต่เป็นอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดโดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เพื่อนำตลาด เพื่อกระตุ้นให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดเปลี่ยนไปในทิศทางตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพราะฉะนั้น การนำมาอ้างอิงในกรณีนี้ มองได้แต่เพียงว่า อ้างเพื่อให้ดูดีว่าอิงกับอัตราของแบงก์ชาติ แต่ผิดฝาผิดตัว ผิดวัตถุประสงค์โดยสิ้นเชิง
ทีดีอาร์ไอคำนวณด้วยว่า หากรัฐช่วยอุ้มมือถือสองรายตามแนวทางข้อเสนอข้างต้น รัฐก็จะเสียรายได้ที่ควรได้ประมาณ 30,000 ล้านบาท (ต่อให้เอกชนยอมทยอยจ่ายโดยไม่เบี้ยวอีกในอนาคต)
4. การผลักดันข้อเสนอยืดเวลาจ่ายค่าใบอนุญาตของมือถือ2 ราย โดยใส่เข้ามาในช่วงเดียวกับที่มีการพิจารณาช่วยเหลือทีวีดิจิทัล ดูเหมือนมีเจตนาซุกประเด็นการเอื้อประโยชน์แก่มือถือพ่วงไปกับความเดือดร้อนของทีวีดิจิทัล และคำตัดสินของศาลปกครองกลางที่มีต่อผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลรายหนึ่ง
อาจถูกกล่าวหาได้ว่า เป็นลูกเล่นที่ไม่ต่างกับยุครัฐบาลทักษิณ ที่ซุกเรื่องการเปลี่ยนค่าส่วนแบ่งรายได้เป็นภาษีสรรพสามิตเอื้อประโยชน์แก่ผู้ถือสัมปทานมือเดิม ครั้งโน้นซุกไปกับการเก็บภาษีสรรพสามิตกิจการอาบอบนวดและสนามกอล์ฟ
5. การดำเนินการของ คสช. กำลังถูกจับตาเปรียบเทียบกับสมัยรัฐบาลทักษิณ ที่เป็นเผด็จการโดยรัฐสภา
เผด็จการรัฐสภาโดยนายทุนโทรคมนาคม เข้ามามีอำนาจรัฐปี 2544 จากนั้นก็ทำการลดค่าส่วนแบ่งรายได้ที่บริษัทมือถือของนายใหญ่ จะต้องจ่ายให้รัฐเพิ่มขึ้นทุกช่วงปี ตามสัญญาสัมปทานที่ทำไว้กับองค์การโทรศัพท์ฯ (ทศท.) เช่น จะต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้รัฐ 25% ในช่วงปี 2543-2548 และจะต้องเพิ่มขึ้นเป็น 30% ในช่วงปี 2549-2553 เป็นต้น แต่ในปี 2544 นั้น เอกชนจะต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ 25% ปรากฏว่า มีการแก้ไขให้จ่ายส่วนแบ่งรายได้มือถือระบบเติมเงินแค่ 20% คงที่ตลอดอายุสัมปทาน ทำให้รัฐเสียหายมหาศาล เอกชนร่ำรวมอื้อซ่า
เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง คือ นายสุธรรม มลิลา อดีต ผอ.ทศท. ล่าสุด ถูกศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิพากษาในชั้นอุทธรณ์ ลงโทษจำคุก 6 ปี และให้ชดใช้ค่าเสียหายกว่า 46,000 ล้านบาท
6. การที่ คสช.ยับยั้งชั่งใจในเรื่องนี้ นับว่าตัดสินใจถูกต้อง และควรจะยุติเรื่องที่จะไปคิดอ่านอุ้มกิจการมือถือแบบนี้ไปเสียเลย เพื่อมิให้สุ่มเสี่ยงที่จะซ้ำรอยความเลวร้ายในอดีต วงจรธุรกิจสัมปทานที่แสวงหาผลประโยชน์จากอำนาจรัฐ มีบทเรียนจากหลายกรณี ประเภทที่ยื่นประมูลโดยให้ข้อเสนอผลประโยชน์แก่รัฐเยอะๆ จากนั้น วิ่งเต้นเข้าหาผู้มีอำนาจรัฐ เพื่อให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงสัมปทาน เอื้อประโยชน์แก่เอกชน ลดผลประโยชน์ที่รัฐพึงได้รับ ทำให้ส่วนรวมเสียหาย ไม่ว่าจะเป็น กรณีสัมปทานดาวเทียม สัมปทานโรงเหล้า ฯลฯ ในอดีตเคยมีบาดแผล และยังเป็นกรณีพิพาทอยู่ถึงปัจจุบันมากมาย
7. สำหรับปัญหาทีวีดิจิทัล ที่กำลังขาดทุนกันระนาว (มีไม่ขาดทุนแค่ 3-4 ราย)
ผมเห็นว่า การขาดทุนเกิดจากปัจจัย 3 ส่วน
ประการแรก เกิดการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี ที่พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป จากดูทีวีหน้าจอทีวี ตามเวลาออกอากาศของสถานีโทรทัศน์ เป็นการใช้คลื่นโทรคมนาคม ดูในโทรศัพท์มือถือ หรืออินเตอร์เนตย้อนหลัง ในช่วงเวลาที่ตนเองพึงพอใจ และมีรายการในโซเชียลมีเดียเกิดขึ้นมากมาย ทั้งหมด สามารถเข้าถึงได้ผ่านระบบโทรคมนาคม 3 จี 4 จี ที่ผู้ประกอบการโทรคมนาคมได้ประมูลไปนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ โฆษณาซึ่งเป็นรายได้หลักของทีวีเดิมจึงถูกแบ่งไป จำนวนช่องทีวีก็มากขึ้น ต้องแข่งขันแย่งชิงงบโฆษณา ทั้งลดแลกแจกแถม งบโฆษณายิ่งถูกแบ่งไป ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ไม่มีผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลรายใดคาดการณ์ชัดเจนว่าจะเปลี่ยนแปลงรวดเร็วขนาดนี้
ประการที่สอง ผู้ประกอบการอ้างว่า กสทช.ไม่ได้แจกคูปอง กล่องสัญญาณ รวมทั้งจัดการโครงข่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ตามแผนงานที่กำหนดกันไว้ เรื่องนี้ กสทช.มีหน้าที่ชี้แจงว่าจริงแค่ไหน ถ้าจริง กสทช.ต้องรับผิดชอบ ในสิ่งที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่เอกชน แก่ส่วนรวม แต่ขณะนี้ ฟังได้ว่ากสทช.ยังยืนยันว่าไม่จริง
ประการที่สาม เมื่อครั้งที่ คสช.ยึดอำนาจ เป็นรัฎฐาธิปัตย์ ได้สั่งปิดทีวีวิทยุทุกช่อง แน่นอนย่อมกระทบรายได้ของสถานีโทรทัศน์ทุกสถานี ไม่เว้นแม้แต่ช่องทีวีดาวเทียม นอกจากนี้ คสช.ยังใช้เวลาช่วงไพร์มไทม์ ช่วงที่มีคนดูมากตอนหกโมงเย็นของสถานีทีวี บังคับให้ถ่ายทอดรายการของ คสช. และยิ่งกว่านั้น สถานีทีวีและรายการทั้งหลายก็มีความกริ่งเกรง คสช. จึงอาจไม่กล้าทำรายการวิพากษ์วิจารณ์การเมืองที่มีเนื้อหาโดดเด่นขึ้นมา
ผมคิดว่า ปัจจัยที่มีผลมากที่สุด คือ ปัจจัยจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี ทำให้เกิดการขาดทุนถ้วนหน้า
8. หากจริงใจที่จะช่วยทีวีดิจิทัล สามารถทำได้
กสทช.สามารถดำเนินการเอง โดยไม่ต้องใช้มาตรา 44 เพื่อยืดเวลาจ่ายเงินของทีวีดิจิทัล
กสทช. น่าจะคำนวณมูลค่าผลประโยชน์ ในส่วนที่ กสทช.ผิดพลาดด้านโครงข่าย การแจกจ่ายคูปอง กล่องรับสัญญาณ
ตามที่เคยประกาศว่าจะทำในตอนเชิญชวนเอกชนให้เข้ามาประมูล แล้วไม่เป็นไปตามแผน ซึ่งสามารถจะคำนวณได้คร่าวๆ ว่าจะมีมูลค่าความเสียหายแค่ไหน
ในการนี้ จะต้องมีผู้รับผิดชอบ ใครเป็นผู้ดำเนินการบกพร่อง ผิดพลาด แล้วเกิดความเสียหาย ก็จะต้องรับผิดชอบต่อไปด้วย
สิ่งที่ผมเป็นห่วงที่สุด คือ แนวทางคำวินิจฉัยศาลปกครองกลาง ในกรณีที่ “เจ๊ติ๋ม ทีวีพูล” ที่ให้สามารถยุติการออกอากาศได้ เสมือนเป็นการคืนคลื่น โดยค่าใบอนุญาตส่วนที่จ่ายแล้วก็จ่ายไป แต่ส่วนที่เหลือไม่ต้องจ่าย
ผมคิดว่า ประเด็นนี้ กสทช.ควรต่อสู้ต่อไปให้ถึงที่สุด โดยชี้ให้เห็นว่า กรณีค่าใบอนุญาตทีวีดิจิทัลนั้น เป็นสัญญาการประมูลใช้ใบอนุญาตทีวีดิจิทัล ตกลงจ่ายเป็นจำนวนเงินก้อนทั้งหมด เพียงแต่ให้ทยอยจ่าย มิใช่สัญญาเช่าใช้คลื่นความถี่เป็นช่วงๆ หรือเป็นปีต่อปี
ย้ำว่า เป็นการประมูลใบอนุญาตไปด้วยเงินเป็นก้อนทั้งหมด เพื่อให้ได้สิทธิในการเข้าไปประกอบกิจการทีวีดิจิทัล ได้เข้ามาใช้คลื่นและได้ใบอนุญาต มีเงื่อนไขต้องจ่ายเงินก้อนทั้งหมด เพียงแต่สัญญาให้ทยอยจ่ายเท่านั้นเอง
เปรียบเสมือน การซื้อรถยนต์ ที่ซื้อรถทั้งคัน ไม่ใช่เช่ารถเป็นรายเดือน รายปี และไม่ใช่การวางดาวน์แล้วทยอยผ่อน เมื่อไม่อยากใช้รถก็เลิกเลย ไม่ต้องรับผิดชอบภาระค่ารถทั้งก้อนเต็มจำนวน ไม่เหมือนกัน
ผู้ประกอบการที่เข้าประมูล ก็ต้องวางแผนคาดการณ์เช่นเดียวกับกิจการมือถือ เมื่อได้ใช้คลื่นแล้วจะแสวงหาผลประโยชน์ทางธุรกิจอย่างไร จะแบ่งมาจ่ายค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่เท่าไหร่
กสทช. ควรจะต้องต่อสู้ให้ถึงที่สุด เพื่อชี้ให้ศาลปกครองสูงสุดเห็น
มิฉะนั้น จะเกิดการคืนคลื่นคืนใบอนุญาตกันจ้าละหวั่น
ใครขาดทุนก็ยุติการออกอากาศ ทำเรื่องฟ้องศาล ลอกเลียนแบบ “ติ๋มทีวีพูลโมเดล”
จะทำให้รัฐเสียหายร้ายแรง เพราะเสียโอกาสในการใช้คลื่นไปแล้ว เปิดโอกาสให้นายทุนทีวีดิจิทัลเบี้ยว ซ้ำยังจะทำให้คนทำงานสื่อตกงานอีกมาก
ยิ่งกว่านั้น ต่อไป คนทำธุรกิจสัมปทานกับรัฐก็จะทำธุรกิจแบบสุ่มเสี่ยง ใช้วิธีเสนอค่าตอบแทนยอดรวมเยอะๆ ไว้ก่อน
เมื่อชนะประมูล ได้คลื่นมาใช้ทำธุรกิจ หากไม่สำเร็จก็เลิก โดยไม่ต้องจ่ายค่าใบอนุญาตครบตามจำนวนที่เสนอตอนชนะประมูล
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี