เวลาใครพูดถึงสังคมประชาธิปไตยของประเทศหนึ่งใด เราก็มักจะเข้าใจว่าเขาหมายถึงการแข่งขันระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ เพื่อไปมีที่นั่งในสภา เป็นเสียงข้างมากฝ่ายรัฐบาล หรือเสียงข้างน้อยฝ่ายค้าน สลับกันไปมาตามวาระที่กำหนดกันไว้ ส่วนใหญ่ก็ประมาณ 4 ปีต่องวด หรือเทอม
ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนก็คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา และประเทศต่างๆ ในยุโรปตะวันตก ไปจนถึงอินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน เป็นต้น เรียกว่าพรรคการเมืองต่างๆ ในประเทศเหล่านี้แข่งขันกันแล้ว ก็ผลัดกันแพ้-ชนะ หรือไม่ก็จับกลุ่มรวมตัวกันตั้งรัฐบาลผสม หรือกลุ่มผสมฝ่ายค้าน และสังคมประชาธิปไตยก็เคลื่อนไปได้อย่างมั่นคง
แต่อย่างไรก็ดี ยังมีอีกหลายๆ ประเทศ ที่กระบวนการของการผลัดกันเป็นผู้ชนะ ผู้แพ้ หรือเป็นฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ผลัดเปลี่ยนกันไป มักจะเกิดขึ้นได้ยากลำบาก หรือบางครั้ง
ก็เกิดขึ้นไม่ได้เลย เพราะว่ามีฝ่ายที่ชนะอยากจะชนะไปตลอดกาลจนไม่สนเจตนารมณ์ทางประชาธิปไตย โดยมักจะเชิดผู้นำคนเดียวให้อยู่ในตำแหน่งประมุข หรือหัวหน้ารัฐบาลแบบตลอดชีวิต หรือไม่ก็สร้างผู้สืบทอดอำนาจ ซึ่งมักจะเป็นบุคคลในครอบครัว หรือวงศาคณาญาติ ขึ้นมาเพื่อรับมรดกทางการเมืองต่อไป ซึ่งความมุ่งมั่นที่จะมีอำนาจแบบถาวรนี้ ทำให้กล้าที่จะทำการทุกอย่างต่างๆ นานา เพื่อให้ได้กุมชัยชนะการเลือกตั้งทุกครั้ง และอยู่ต่อไปอย่างยาวนาน
ซึ่งการจะกระทำการเช่นนี้ได้ ทั่วๆ ไปก็มักจะเริ่มต้นด้วยการล้มเลิกกฎเกณฑ์ข้อจำกัดต่างๆ โดยเฉพาะกติกาห้ามการเป็นผู้นำเกิน 2 สมัย ด้วยหลักการเสียงข้างมากในสภาเพียงอย่างเดียว
(ซึ่งเมื่อไม่สนใจหลักประชาธิปไตยอื่นๆ ก็ไม่ต่างกับระบอบเผด็จการ) หลังจากนั้นแล้ว ก็จะดำเนินการในการใช้อำนาจให้หน่วยงานรัฐเป็นกลไก ในการสกัด จนถึงการขจัดคู่แข่ง หรือคู่ต่อสู้ทางการเมือง โดยควบคู่ไปกับสร้างกฎเกณฑ์เงื่อนไขเพื่อมิให้คู่แข่งขยับเขยื้อนได้ และร้ายไปกว่านั้น ก็พัฒนากันไปถึงการตั้งข้อหาอาญากันดิบๆ ซึ่งๆ หน้าเลย นอกจากนั้นก็จะหาทางเข้าไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมเพื่อให้คล้อยตามด้วย
ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าว เป็นเพียงประชาธิปไตยแค่เพียงรูปแบบ ที่ใช้การแสดงออกด้วยการจัดการเลือกตั้ง เพื่ออ้างความเป็นประชาธิปไตย และอ้างความชอบธรรมเท่านั้น การเลือกตั้งของประเทศที่มีลักษณะดังกล่าว จึงเป็นแค่เครื่องมือเพื่อยึดและคงไว้ซึ่งอำนาจ
ที่เห็นๆ กันเด่นชัด ณ วันนี้ที่รอบๆ บ้านเราก็มี กัมพูชา สิงคโปร์ และมาเลเซีย โดยมีฟิลิปปินส์กำลังเคลื่อนมาในทิศทางนี้อย่างเด่นชัดมากขึ้นเป็นลำดับ คือทำทุกอย่างเพื่อให้ฝ่ายค้านเหลือเพียงแต่ร่างทรงเท่านั้น
ไกลออกไปก็มี รัสเซีย อียิปต์ เวเนซุเอลา โบลิเวีย แอลจีเรีย ตุรกี กลุ่มประเทศเอเชียกลาง กลุ่มประเทศอเมริกากลาง และอีกหลายประเทศในแอฟริกา ประเด็นปัญหาคือ เมื่อตัวผู้นำอยู่ในอำนาจนานๆ สักพัก ก็จะหลงตัวเอง หลงอำนาจ และทำการท้าทายกติกาสังคม และศีลธรรม จนเมื่อมีบาดแผล ก็ไม่อยากต้องถูกขึ้นเขียง เผชิญกับกระบวนการยุติธรรม จนต้องบิดเบือนกติกา และกฎหมาย
ซึ่งหากประเทศใดสามารถขจัดผู้นำแบบนี้ออกไปได้แล้ว ประชาธิปไตยของการแข่งขันก็ถึงจะเริ่มสามารถพัฒนาไปได้ เช่นที่ ไลบีเรีย รวันดา หรือไนจีเรีย
เมื่อพรรคเดียวกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ คู่แข่งต่างๆ ก็กลายเป็นแค่เครื่องประดับทาง ประชาธิปไตย กลายเป็นแค่เครื่องอ้างความชอบธรรม ในขณะที่สังคมประเทศนั้น ดำเนินไปในรูปแบบเผด็จการเสียงข้างมาก หรือเผด็จการพรรคเดียว ด้วยหนทางประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง โดยประชาชนมีส่วนร่วมแค่หย่อนบัตร แต่โอกาสจะเลือกพรรคอื่นๆ ก็มีข้อจำกัด เพราะพรรคมีจำนวนน้อย และเรี่ยวแรงอ่อนเปลี้ย สู้อำนาจพรรครัฐบาลและกระบวนการโฆษณาชวนเชื่อ และมาตรการต่างๆ ไม่ได้
ประชาธิปไตยแบบพรรคเดียวครอบงำ จะผิดกับพรรคเดียวครอบงำประเทศแบบคอมมิวนิสต์ในแง่ที่ว่า ในกรณีแรกนั้นประชาชนไปหย่อนบัตรได้ (เพื่อให้ครบกระบวนการ จะได้ใช้เป็นข้ออ้างว่าเป็นประชาธิปไตย เป็นความเห็นของเสียงส่วนมาก) ส่วนในกรณีหลังพรรคสั่งการสมาชิกและคนทั้งชาติ ไม่มีการแข่งขันระหว่างพรรคใดๆ และประชาชนพลเมืองไม่มีสิทธิเสรีภาพ
ของไทยเรา ก็ดูมีแนวโน้มว่า มีกลุ่มคนที่กุมอำนาจในวันนี้ มีท่าทีอยากจะทำให้ไทยเป็นประเทศแบบพรรคเดียวนำพา แต่ก็ดูจะไม่น่าง่าย เพราะเส้นทางมิได้ผ่านองค์กรพรรคดังประเทศต่างๆ แต่ผ่านองค์กรข้าราชการ ก็ขาดการโยงใยกับประชาชนรากหญ้า
เมื่ออยากจะอยู่ในอำนาจไปตลอดกาล ก็ขอเสนอวิธีคิดเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งที่สะดวกกว่า อย่าไปเสียเวลาเล่นแร่แปรธาตุ แก้ไขกฏหมายรัฐธรรมนูญให้ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน จนวุ่นวาย หรือเสียเงินงบประมาณมหาศาลไปจัดการเลือกตั้งหลอกๆ เพื่อให้ประชาชนมาหย่อนบัตรเลือกตั้งเพื่อมีตัวแทนให้เสียเวลา ก็น่าจะยืดอก พูดตรงๆ กับสังคม กับประชาชนไทยให้สมศักดิ์ศรีลูกผู้ชายชาติทหารไปเลยว่า จะขอยึดอำนาจยาวๆ โดยไม่ต้องให้ประเทศไทยต้องมีพรรคการเมืองให้ประชาชนรำคาญใจ และเสียเวลา แล้วประกาศกับโลกนี้ไปเลยว่า จะปฏิรูประบอบการปกครองที่เหมาะกับประเทศไทยตามความเห็นของตน คือฝ่ายกองทัพเป็นแกนนนำทางการเมือง เป็นวิธีการที่เหมาะสมกับสังคมไทย ที่จะอำนวยให้ประเทศไทยมีเสถียรภาพ และความเจริญก้าวหน้า
ไม่แน่ว่า หากตัดสินใจเช่นนี้แล้ว ประเทศอาจก้าวหน้าไปโลดก็ได้ ใครจะไปรู้!!
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี