อูวินมินต์ นักการเมืองผู้คร่ำหวอดสภาได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดีแห่งสหภาพพม่า ตามความคาดหมาย เมื่อสมาชิก ๔๐๓ คน จาก ๖๓๖ ที่นั่ง ในรัฐสภาลงคะแนนให้เขาเป็นประธานาธิบดีคนที่ ๑๐ ของพม่า แทน อูถิ่น จอว์ ที่ลาออกจากตำแหน่งไปก่อนหน้าหนึ่งสัปดาห์
แต่เสียงสนับสนุนล้นหลามในสภาไม่ใช่ว่าเสถียรภาพสถานะทางการเมืองของเขาจะมั่นคงเหมือนรัฐบาลจากการเลือกตั้งทั่วๆ ไป เพราะการเมืองในพม่ามีลักษณะพิเศษเหมือนการเมืองในประเทศไทย ที่บทบาทนักการเมืองกับทหารแยกออกจากกันไม่ได้เพราะว่าทั้งสหภาพพม่าและราชอาณาจักรไทย มีพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ที่พระมหากษัตริย์ในฐานะจอมทัพเป็นผู้สร้างบ้านแปลงเมืองและปกครองอาณาประชาราชคล้ายคลึงกันตั้งแต่โบราณกาล แต่การล้มเลิกการปกครองแบบราชาธิราชของราชอาณาจักรพม่ากับไทย แตกต่างกันตรงที่อังกฤษยึดครองพม่าล้มเลิกสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วนประเทศไทยการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจากภายใน เกิดจากคณะราษฎรปล้นพระราชอำนาจสถาบันพระมหากษัตริย์
๗๐ ปีที่แล้วพม่าได้รับอิสรภาพจากอังกฤษ การปกครองในพม่าได้รับการวางรากฐานใหม่จากอดีตราชอาณาจักร เป็นสหภาพพม่า ที่อังกฤษวางระเบิดเวลาไว้ให้ชนเผ่าต่างๆในพม่ามีอำนาจในเขตปกครองตนเอง คนเชื้อชาติพม่า ฉาน มอญ ว้า คะฉิ่น กะเหรี่ยง กะยา ฯลฯ ต่างก็ยึดชาติพันธุ์ตัวเองเป็นใหญ่การต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจทางการเมือง ตลอดถึงทรัพยากรธรรมชาติชนิดที่ไม่มีใครยอมใคร ในสหภาพพม่ากำลังทหารจึงต้องมีบทบาทสำคัญในห้วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านอันยาวนาน สู่การปกครองแบบสหพันธรัฐประชาธิปไตย
๗๐ ปีที่ผ่านมา การปกครองในสหภาพพม่าจึงอยู่ในมือทหารเป็นส่วนใหญ่ ในปี ๒๕๐๕ นายพลเนวิน ยึดอำนาจจากรัฐบาลสหภาพพม่าล้มล้างการปกครองที่ให้ชนเผ่าต่างๆ มีสิทธิปกครองตนเองแล้วปกครองพม่าด้วยอำนาจเผด็จการที่เรียกว่า สังคมนิยมแห่งชาตินานถึง ๒๖ ปี จนกระทั่งเกิดการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยและปราบปรามนักศึกษาประชาชนครั้งใหญ่ในปี ๒๕๓๑ ต่อด้วยการปฏิวัติยึดอำนาจของนายพลซอ หม่อง ปกครองแบบเผด็จการทหารต่อเนื่องมาถึงนายพลตัน ส่วย ก่อนยื่นไม้ต่อให้ นายพลเต่ง เซ่ง ถึงยุคสมัยที่เริ่มผ่องถ่ายการปกครองมาเป็นประชาธิปไตยครึ่งใบจนถึงวันนี้
จะเห็นว่าทหารพม่ามีอำนาจปกครองแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดตลอดเวลากว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมานักการเมืองบูชาลัทธิประชาธิปไตยตะวันตกอย่างนางออง ซาน ซู จีและพรรคเอ็นแอลดีของเธอ เพิ่งได้รับโอกาสให้เคลื่อนไหวในกระบวนการประชาธิปไตยเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองเป็นอย่างนี้จึงไม่แปลกใจเมื่อนักการเมืองซึ่งไม่ประสบการบริหารได้เป็นรัฐบาลพล่านเหมือนไก่หัวขาดเพราะไร้อำนาจบริหารและทำงานไม่เป็น
ผู้แทนการเจรจาสันติภาพกลุ่มชาติพันธุ์ให้ความเห็นว่า “อูวินมินต์ ทำอะไรไม่ได้ตราบใดที่ยังอยู่ใต้ร่มเงาของออง ซาน ซู จี ที่ใช้อำนาจเผด็จการบริหารพรรคและประเทศ” เขากล่าวว่าตั้งแต่รัฐบาลพรรคเอ็นแอลดี เป็นรัฐบาลสถานการณ์เลวร้ายลงไป ข้อตกลงสันติภาพ ๓๗ ข้อที่ได้ลงนามโดย ๘ กลุ่มชาติพันธุ์ ไม่มีความคืบหน้าแม้แต่ข้อเดียวกระบวนการเปลี่ยนผ่านการปกครองจากสหภาพพม่าเป็นสหพันธรัฐประชาธิปไตยพม่าไม่มีความคืบหน้าเลย การสู้รบทางภาคเหนือของพม่าติดกับชายแดนจีนที่อยู่ใต้อิทธิพลของชาติพันธุ์ว้า คะฉิ่น และปะลอง รุนแรงกว่าก่อนเลือกตั้งเมื่อสองปีก่อน...“แปดกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ใต้อิทธิพลและเป็นแนวร่วมกลุ่มว้า ซึ่งเป็นกองกำลังชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในพม่ายังไม่ลงนามในข้อตกลงหยุดยิงนี่คือความล้มเหลวของรัฐบาลออง ซาน ซู จี..” ผู้แทนเจรจาสันติภาพจากกลุ่มชาติพันธุ์กล่าว
ด้านเศรษฐกิจวันแรกที่นายอูวินมินต์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดี นสพ.เมียนมาไทม์ซึ่งเป็นกระบอกเสียงรัฐบาลเสนอบทความวิจารณ์ความล้มเหลวด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลออง ซาน ซู จี ในหัวข้อว่า “ภาคเอกชนเตือนว่าเพราะความไร้เดียงสาอาจนำพาให้เศรษฐกิจตกราง”
เมียนมาไทม์เสนอคำสัมภาษณ์ภาคเอกชนวิจารณ์ว่าตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมานางออง ซาน ซู จี บริหารเศรษฐกิจแบบรวบอำนาจขาดวิสัยทัศน์ นายอีริคโรส จากเฮิรสเฟล แอน โรบิน กล่าวว่า “รัฐบาลเอ็นแอลดี ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าการก้าวเดินเหมือนเด็กอมมือในการปฏิรูปเศรษฐกิจ” นายพิลิปลูเวอรีเซน ประธานหอการค้ายุโรป กล่าวว่า “การปฏิรูปเศรษฐกิจก้าวย่างเชื่องช้า
เกินไปสำหรับบริษัทต่างชาติที่ลงทุนในพม่า” อูเพียวว้า ตุน บอร์ดบริษัทพลังงานซีซีไอ ฝรั่งเศสสาขาพม่ากล่าวว่า “เพราะผลประโยชน์มหาศาลทำให้การปฏิรูปเศรษฐกิจเดินหน้าไปไม่ได้ รัฐบาลต้องขจัดเรื่องผลประโยชน์ที่ผู้มีอำนาจในแต่ละกระทรวงจ้องจะงาบเพื่อแลกกับการให้อภิสิทธิ์แก่บริษัทชั้นนำ..” ยังมีนักลงทุนอีกหลายรายที่วิจารณ์ความล้มเหลวในด้านการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลออง ซาน ซู จี อย่างไม่ไว้หน้า
นั้นคือสถานการณ์ทางการเมืองในพม่า หลังจากเปลี่ยนจากราชาธิราช ไปอยู่ใต้การปกครองต่างชาติต่อเนื่องมาเป็นสหภาพประชาธิปไตย ไปสู่สังคมนิยมแห่งชาติเป็นเผด็จการทหาร และปัจจุบันเป็นประชาธิปไตยครึ่งใบ
ส่วนประเทศไทย คณะราษฎรปล้นราชอำนาจเมื่อวันที่ ๒๔ มิ.ย. ๒๔๗๕ ในข้ออ้างว่าเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย แต่เนื้อแท้คือการเปลี่ยนจากราชาธิราช เป็นทรราชเผด็จการบริหารประเทศแบบไร้ทิศทางกว่าสองทศวรรษจนกระทั่งถูกยึดอำนาจในปี ๒๕๐๐ เมื่อประเพณีเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์และพระราชอำนาจบางประการได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่
ตั้งแต่ปี ๒๕๐๐ ประเทศไทยได้รับการพัฒนาจากการบริหารแบบเผด็จการสร้างชาตินานกว่าหนึ่งทศวรรษ จนกระทั่งนักศึกษาประชาชนปฏิวัติ ๑๔ ต.ค. ๒๕๑๖ และหนึ่งปีต่อมาประเทศไทยมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย แต่เสรีประชาธิปไตยก็อยู่ได้ไม่นานถูกทหารยึดอำนาจการปกครองในเดือนต.ค. ๒๕๑๙ แล้วปกครองด้วยรัฐบาลทหาร จนกระทั่งถึงยุคประชาธิปไตยครึ่งใบในปี ๒๕๒๓ ที่เรียกประชาธิปไตยครึ่งใบเพราะเวลานั้นนายทหารในราชการรับคำเชิญมาร่วมทำงานกับนักการเมือง
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายทหารสัตย์ซื่อมือสะอาดเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เหนือสิ่งอื่นใด ยอมรับคำเชื้อเชิญเป็นนายกรัฐมนตรีนำพาประเทศผ่านภาวะวิกฤติทุกด้าน ไปสู่ความก้าวหน้าโชติช่วงชัชวาลนานกว่า ๘ ปี ก่อนจะประกาศว่า “ผมพอแล้ว” หลังจากรัฐบาลพลเอกเปรมผ่านไป ประเทศไทยมีรัฐบาลประชาธิปไตยจากการเลือกตั้งแต่จนกระทั่งเดือน ก.พ. ๒๕๓๔ รัฐบาลประชาธิปไตยถูกยึดอำนาจ ทหารกับนักการเมืองประชาธิปไตยจึงสลับกันไปสลับกันมา จนเป็นที่มาของการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยในปี ๒๕๔๔ ที่การปกครองในแบบประชาธิปไตยถูกคุกคามครั้งใหม่ ในรูปของประชาธิปไตยแบบทุนสามานย์ปล้นชาติ
นักธุรกิจการเมืองเริ่มใช้เงินสกปรกซื้อนักการเมือง ซื้อองค์กรอิสระบางส่วน ซื้อสื่อ ซื้อข้าราชการกังฉินเข้ามาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศไร้หลักนิติรัฐ นิติธรรม ทุจริตในเชิงนโยบายมีพฤติกรรมเป็นภัยต่อสถาบันหลักของชาติ สุดท้ายถูกยึดอำนาจแต่กากเดนสมุนบริวารเครือข่ายทุนสามานย์ปล้นชาติยังไม่ถูกทำลาย เชื้อชั่วทุนสามานย์ยังไม่ตายยังคงใส่หน้ากากประชาธิปไตยล้างผลาญประเทศชาติต่อไปได้อีกหลายปีตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ นักการเมืองทุนสามานย์ปล้นชาติในคราบเสรีประชาธิปไตย ได้สร้างความเสียหายให้ประเทศชาติหลายล้านล้านบาท หลักนิติรัฐ นิติธรรมถูกทำลาย สถาบันถูกคุกคาม สังคมแตกแยก ประชาชนถูกทำร้ายจากภัยชนิดใหม่ในคราบประชาธิปไตยทุนสามานย์ จนทหารต้องเข้ามาคั่นเวลาการปล้นชาติด้วยการยึดอำนาจเมื่อ ๒๒ พ.ค. ๒๕๕๗
การยึดอำนาจที่ทุกฝ่ายหวังให้เป็นครั้งสุดท้าย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงได้สร้างภูมิคุ้มกันไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปปราบโกง คือไม่ให้แก้ไขได้ง่ายๆ นอกจากนั้นยังมีบทเฉพาะกาลกำกับไว้ให้สิทธิวุฒิสมาชิก ๒๕๐ คน มีส่วนร่วมในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ทุนสามานย์ปล้นชาติใช้เงินซื้ออำนาจเข้าทำเนียบได้ง่ายดายเหมือนในอดีต
รัฐบาลทหารพม่าก็เหมือนกับรัฐบาลทหารไทย ที่รู้ทันนักการเมืองไร้ศีลธรรมจรรยา ไร้อุดมการณ์รักประชาธิปไตยจึงได้เขียนรัฐธรรมนูญป้องกันไว้ รัฐธรรมนูญพม่าให้อำนาจกองทัพแต่งตั้งรัฐมนตรีกลาโหม มหาดไทยและกิจการชายแดน และให้โควตาที่นั่งในรัฐสภา ๒๕ เปอร์เซ็นต์ พร้อมกับบัญญัติไว้ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องได้เสียงสนับสนุนจากรัฐสภากว่า ๗๕ เปอร์เซ็นต์
นักการเมืองใหม่ นักวิชาการโลกสวยจึงต้องสำเหนียกไว้ว่า การถอนราก คสช. การปฏิวัติอำนาจศาล ยกเลิกกฎหมายปกป้องสถาบัน เปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไทยไม่ง่ายเหมือนในตำรา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี