ต้องยอมรับว่า ภาพ “การก่อสร้างบ้านพักฝ่ายตุลาการ” บนที่ราชพัสดุ ตีนดอยสุเทพ ที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในเวลานี้ หากว่ากันเฉพาะ “ภาพ” ที่ว่าด้วย “ตำแหน่งของการก่อสร้าง” ที่เผยแพร่ออกมานั้น เป็นภาพที่ “เหลือจะรับได้” จริงๆ ครับ
เราจึงเห็น “แรงกระเพื่อมของสังคม” หนักหน่วงมาก ในการเรียกร้องให้ “ยกเลิกการก่อสร้าง” และ “คืนพื้นที่ป่า” ในสภาพที่ต้องเป็น “ป่า” กลับมาให้ได้
อย่างไรก็ตาม พอฝ่ายที่เกี่ยวข้องออกมาอธิบาย ถึงแม้ยังอยู่บนฐานความคิดว่า “รับไม่ได้” แต่ผมก็ยังอยากให้ทุกฝ่าย “รับฟังกัน” และ “คิดไปด้วยกัน” ถึง “ทางออก” ของเรื่องนี้
เพราะบัดนี้มันอิหลักอิเหลื่อ และอยู่ในสภาพ “ตีนก่ายหน้าผาก” กันหมดทุกฝ่าย คือ ประชาชนรับไม่ได้ กับการใช้พื้นที่ดังกล่าว-เพื่อการดังกล่าว!! แม้จะ “ปลูกสร้างอย่างถูกกฎหมาย” แต่มัน “เหมาะควร” และ “จำเป็น” หรือไม่
ทางออกเวลานี้ ยังไม่รู้หรอกว่าคืออะไร มันก็เป็นไปได้แค่
1.รื้อทิ้งให้หมด คืนพื้นที่กลับมา ฟื้นฟูให้เป็นสภาพป่าที่ดีดังเดิม
2.ไม่ต้องรื้อทิ้ง เพราะอย่างไรเสีย ก็เป็นงบประมาณแผ่นดินที่ถูกใช้ไปแล้ว แต่ต้องจัดการฟื้นฟูสภาพระบบนิเวศกลับมา พร้อมกับสัญญาว่า จะไม่มีการใช้พื้นที่ป่าเชิงดอยสุเทพแบบนี้อีกในวันข้างหน้า โดยที่สิ่งปลูกสร้างและพื้นที่ ควรนำมาใช้งานสองแบบ แบบแรกคือ ใช้เป็นประโยชน์สาธารณะ กับแบบที่สอง คือ ใช้ตามแผนเดิมต่อไป
ซึ่งจะลงเอยอย่างไร อยู่ที่การ “พูดคุยกัน” ที่บัดนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็บอกชัดว่า ต้องคุย! และหาทางออกที่ดีที่สุด
สิ่งที่น่าเศร้า ไอ้คนที่อนุมัติในอดีต คือคนที่เป็นขวัญใจคนในพื้นที่ทั้งนั้น แต่คนเหล่านั้น ไม่มา “รับผิดชอบ” ปฏิกิริยาในเวลานี้ของสังคมเลย ส่วนไอ้คนที่ต้องแก้ปัญหาในตอนนี้ ก็ไม่ใช่คนที่อนุมัติในตอนนั้น และจากจุดนับหนึ่งของการก่อสร้างจนบัดนี้นั้น การคัดค้านไยปล่อยให้ล่วงเลยมาถึงจุดที่ต้องหาทางออกแบบ เอา “ตีนก่ายหน้าผาก” เยี่ยงนี้
ฝ่ายประชาชน ฝ่ายคัดค้านนั้น เราเห็นเจตนาและความหวงแหนพื้นที่ชัดเจนแล้ว ลองมาฟังฝ่ายชี้แจงกันบ้าง โดยนายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม และนายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม ร่วมกันแถลงข่าวกรณีการสร้างบ้านพักตุลาการเชิงดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ ว่า
1) บ้านพักดังกล่าวเป็นทรัพย์สินของทางราชการ ทำตามขั้นตอนถูกกฎหมาย ไม่ได้รุกป่า เดิมทีศาลสังกัดอยู่กับกระทรวงยุติธรรม ซึ่งได้เริ่มดูแลการก่อสร้างบ้านพักตุลาการและอาคารศาล ต่อมาในปี 2543 ศาลได้แยกจากกระทรวงยุติธรรม ก็มีสำนักงานศาลยุติธรรมดูแลดำเนินการต่อ ซึ่งการก่อสร้างได้ใช้ที่ดินราชพัสดุ ขออนุญาตจากกรมธนารักษ์ ได้รับอนุญาตให้ใช้พื้นที่ได้ 147 ไร่ แต่เราใช้เพียง 89 ไร่ โดยการก่อสร้างทำสัญญากับเอกชนรวม 3 สัญญา ประกอบด้วยสัญญาฉบับแรก เป็นการก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 ซึ่งดำเนินการสร้างเสร็จเรียบร้อยและได้เข้าใช้อาคารแล้วส่วนสัญญาที่ 2 และ 3 เป็นการก่อสร้างอาคารชุดที่พักตุลาการและข้าราชการ ประกอบด้วยบ้านพักผู้พิพากษา 38 หลัง และอาคารชุดของตุลาการ 16 หน่วย กับอาคารชุด 36 หน่วยอีก 1 หลัง รวมทั้งอาคารชุดของเจ้าหน้าที่ 6 หน่วย และ 36 หน่วยอีก 1 หลัง ซึ่งทั้งหมดอยู่บริเวณที่ติดกัน โดยกำลังดำเนินการก่อสร้างใกล้เสร็จพร้อมจะส่งมอบเมื่อครบสัญญาในวันที่ 9 และ 18 มิ.ย.นี้ โดยสัญญาทั้งสองมีมูลค่า 321 ล้านบาท และ 342 ล้านบาท การดำเนินการในปัจจุบันสัญญาก็ยังเดินต่อไป เพราะมีความผูกพันตามสัญญา
2) ระหว่างดำเนินการก่อสร้างนี้ ไม่ได้ทำลายป่า จำนวนต้นไม้ที่มีการขุดย้ายในพื้นที่ ต้นไม้ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.30 ซม.ขึ้นไป ประกอบด้วยต้นประดู่ 29 ต้น, ต้นพลวง 86 ต้น, ต้นสัก 4 ต้น, ต้นกระบาก 77 ต้น และไม้เนื้ออ่อนอีก 44 ต้น เราก็ได้ขุดล้อมแล้วเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่ไปก่อน
3) ในอนาคตกับแผนที่จะดำเนินการต่อไป ประกอบด้วยแผนระยะสั้น ระยะที่ 1 คือไม่มีการตัดต้นไม้ใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีการปรับพื้นที่ก่อสร้างเพิ่มเติม จะดูแลรักษาสภาพพื้นที่ให้สมบูรณ์ โครงการก่อสร้างทั้งหมดใน จ.เชียงใหม่ เราได้กันพื้นที่ป่าที่เราไม่ได้ดำเนินการอะไรเลยอีก 58 ไร่ ส่วนแผนระยะกลาง ในวันที่ 21 เม.ย.นี้ ซึ่งตรงกับวันศาลยุติธรรม เราจะร่วมกันปลูกพันธุ์ไม้ตามแบบภูมิทัศน์ในสัญญา โดยมีไม้ยืนต้น เช่น พะยูง 60 ต้น, ต้นแคนาป่า 94 ต้น, ลีลาวดี 299 ต้น และไม้ประเภทต่างๆ อีก 6,400 ต้น และแผนระยะยาว จะเป็นการปลูกป่าเนื่องในโอกาสสำคัญต่างๆ ในแต่ละปี โดยจะแบ่งปลูกเป็นโซนๆ ไป
4) อย่างไรก็ดี ต่อไปในอนาคต สำนักงานศาลยุติธรรมในฐานะหน่วยงานทางธุรการของศาลยุติธรรม ที่มีหน้าที่พิพากษาอรรถคดี ในฐานะคู่สัญญาก่อสร้างกับเอกชนนั้น ก็จะรับผิดชอบ
ต่อไป แม้การก่อสร้างจะไม่ได้เริ่มต้นจากศาลอุทธรณ์ภาค 5 แต่เริ่มต้นจากบทบาทหน้าที่ซึ่งเดิมศาลเคยสังกัดอยู่กระทรวงยุติธรรม แล้วกระทรวงเป็นฝ่ายดำเนินการ แต่เมื่อปัจจุบันมีสำนักงานศาลยุติธรรมดูแลแทน ดังนั้น ความรับผิดชอบต่างๆ ก็จะมีคณะกรรมการตรวจรับงานของสำนักงานศาลยุติธรรม ก็จะดำเนินการตามความผูกพันทางสัญญาและกฎหมายต่อไป
5) ส่วนที่ผ่านมาถ้าถามว่าเราเคยรับฟังความคิดเห็นของพี่น้องประชาชนหรือไม่ เราไม่ได้ตอบว่าเราทำถูกกฎหมายอย่างเดียว แต่สิ่งที่พี่น้องประชาชนให้ความห่วงใยเราก็พร้อมที่จะรับฟัง และรับข้อเสนอแนะต่างๆ ซึ่งจากแผนที่เราดำเนินการอยู่ก็คิดว่ามันจะดีขึ้น และทุกคนจะอยู่กับสิ่งแวดล้อมได้ ไม่ได้มีปัญหา เพราะเราไม่ได้เข้าไปทำลายสิ่งแวดล้อม แต่เราต้องการจะอยู่กับสิ่งแวดล้อมและรักษาสิ่งแวดล้อมไว้
6) อย่างไรก็ดี การดำเนินการต่างๆ อาจไม่เป็นที่ถูกใจของทุกคน แต่ตนก็มีความสามารถจำกัด ไม่สามารถทำให้ทุกคนถูกใจได้ แต่เราพร้อมที่จะรับฟังข้อเสนอแนะที่จะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม การที่จะดำเนินการใดๆ ก็ตาม ตนก็ต้องดำเนินการภายใต้กรอบของกฎหมายที่มีอยู่ จะไปสั่งทุบทำลาย ตนก็ทำไม่ได้เพราะไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนตัว แต่เป็นทรัพย์สินของราชการที่มาจากภาษีของประชาชน ดังนั้น สำนักงานศาลยุติธรรมจึงพร้อมที่จะรับข้อมูล
และข้อเสนอแนะในทางที่สร้างสรรค์ ที่จะแก้ปัญหาต่างๆ จากท่านที่ไม่เห็นด้วยว่าต้องการจะให้ปรับปรุงแก้ไขอย่างไร ซึ่งหากเห็นว่าแผนระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาวของเรายังไม่เพียงพอ จะมีข้อเสนอแนะอย่างไรเราก็พร้อมดำเนินการ
7) ในวันจันทร์ที่ 9 เม.ย.นี้ เวลา 09.00 น. คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.) ซึ่งเปรียบเหมือนคณะรัฐมนตรีของศาล มีหน้าที่บริหารกำกับดูแลกิจการทั่วไปของสำนักงานศาลฯ ที่มีตนเป็นเลขานุการ ก็จะเสนอที่ประชุมในประเด็นนี้ ว่า ก.บ.ศ.จะมีความเห็นหรือมติให้สำนักงานศาลฯ ดำเนินการอย่างไร ก็จะปฏิบัติตาม และจะแจ้งผลมตินี้ให้นายกรัฐมนตรีทราบด้วย เพื่อจะได้พิจารณาว่าในส่วนของศาลเรามีกรอบบริหารจัดการอย่างไร
โดยสำนักงานศาลยุติธรรม มีประธานศาลฎีกาเป็นผู้บังคับบัญชา และก็มี ก.บ.ศ.ที่มีหน้าที่บริหารกิจการของศาลเป็นผู้พิจารณาเรื่องเหล่านี้ และก่อนที่จะได้รับการจัดสรรต่างๆ ก็ผ่านการพิจารณาในรูปแบบของคณะกรรมการมา ดังนั้น ช่องทางในการแก้ไขปัญหาก็จะต้องเข้าสู่การพิจารณาของ ก.บ.ศ. โดยในช่วงบ่ายวันที่ 9 เม.ย. ตนก็พร้อมจะแถลงข่าวให้ทราบถึงผลต่อไป
เขาได้ตอบคำถามสื่อมวลชนกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เสนอให้ประชุม 3 ฝ่ายปรึกษาหารือกันภายในวันที่ 9 เม.ย.นั้นว่า ที่จะให้ประชุม ตนเข้าใจว่าเป็นการรับฟังความคิดเห็นและประชุมในส่วนที่เกี่ยวข้องที่จะเสนอแนะต่างๆ ซึ่งการจะประชุม 3 ฝ่ายนั้น ขอเรียนว่าเนื่องจากการบริหารจัดการของตนขึ้นอยู่กับผู้บังคับบัญชา คือประธานศาลฎีกา และการบริหารจัดการของ ก.บ.ศ. ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ คือต้องเดินไปตามที่กฎหมายกำหนด อย่างไรก็ดี ขณะนี้ยังไม่มีหนังสือหรือคำสั่งจากฝ่ายบริหารที่จะให้ประชุมร่วมกันทั้ง 3 ฝ่ายส่งมาถึงสำนักงานศาลยุติธรรม
เมื่อถาม ถ้าจำเป็นที่จะต้องประชุมร่วมกันทั้ง 3 ฝ่าย ทางศาลยินดีที่จะประชุมหรือไม่ เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวว่า การรับฟังความคิดเห็นทำได้หลายทาง ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรเพียงแต่ว่าเนื่องจากการทำงานของตนมีประธานศาลฎีกาเป็นผู้บังคับบัญชา และ ก.บ.ศ.กำกับดูแลการบริหารจัดการ เพราะฉะนั้นจึงจะใช้ช่องทางนี้ในการดำเนินการ ถ้า ก.บ.ศ.มีมติอย่างไรก็จะปฏิบัติตาม เราก็ต้องรับฟังก่อนว่าจะยุติโครงการหรือไม่ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงว่าจะทำอย่างไร ความเสียหายที่เกิดขึ้นมีหรือไม่และผิดสัญญาหรือไม่ เราก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของเหตุและผล เราไม่อยากให้ความเสียหายเกิดขึ้นกับภาครัฐ
เมื่อถามว่า เรื่องนี้ นายชีพ จุลมนต์ ประธานศาลฎีกา มีดำริ มายังเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมโดยตรงหรือไม่ นายสราวุธ กล่าวว่า ประธานศาลฎีกามีดำริว่าให้นำเรื่องนี้เข้าที่ประชุม ก.บ.ศ. ตนในฐานะเลขานุการคณะกรรมการชุดนี้เป็นผู้เสนอเรื่องเข้าสู่การพิจารณาแต่จะเสนอได้ก็ต้องโดยความเห็นชอบของประธานศาลฎีกา
เมื่อถามว่า รองนายกรัฐมนตรี บอกว่าแนวโน้มที่จะได้ข้อยุติเรื่องนี้ ก็คือจะให้ยุติการก่อสร้างโครงการนี้ ศาลมีความคิดเห็นต่อข้อเสนอแนะนี้อย่างไร นายสราวุธกล่าวว่า ก็ยังไม่เห็นจนกว่า ก.บ.ศ.จะพิจารณาแล้วเสร็จ คงไม่สามารถให้ความเห็นส่วนตัวได้ เพราะการดำเนินงานของผมมีขั้นตอนอยู่ ซึ่งคำสั่งจะให้ยุติการก่อสร้างนั้นไม่ทราบเพราะยังไม่ได้รับคำสั่ง หรือไม่ได้รับแจ้งอะไร ขณะนี้ในพื้นที่ผู้รับจ้างยังคงปฏิบัติตามสัญญา แต่ส่วนการดำเนินงานตนไม่ได้ไปดูในรายละเอียด ยอมรับว่าการก่อสร้างลุล่วงไปแล้วกว่า 98%
เมื่อถามว่า ผู้รับจ้างก็จะดำเนินการต่อไปจนกว่าจะมีคำสั่งจากศาล คู่สัญญาจะสั่งยุติเอง ไม่ได้ฟังคำสั่งจากฝ่ายบริหารใช่หรือไม่ นายสราวุธกล่าวว่า ตนมีหน้าที่ปฏิบัติตามสัญญาเพราะถ้าจะยกเลิกสัญญาหรือไม่ปฏิบัติตามสัญญาก็อาจจะมีการฟ้องร้องเกิดขึ้นก็ได้ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและสัญญาที่มีอยู่ ซึ่งหากยกเลิกสัญญาหรือยุติการก่อสร้างแล้วจะเกิดความเสียหายอย่างไรบ้าง คู่สัญญาก็คงจะฟ้องศาล ในฐานะคู่สัญญาว่าเราผิดสัญญา เพราะอยู่ดีดีไปยกเลิกสัญญาโดยไม่มีเหตุผลหรือไม่มีข้อที่ผิดตามสัญญา
เมื่อถามว่า ชาวบ้านในพื้นที่ที่ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านมีความเข้าใจในข้อมูลคลาดเคลื่อนหรือไม่ นายสราวุธกล่าวว่า เราคงไม่ไปกล่าวหาใครว่าเข้าใจคลาดเคลื่อนหรือไม่ แต่ความเห็นของแต่ละฝ่ายอาจจะแตกต่างกัน ตนไม่สามารถบริหารให้ถูกใจทุกคนได้ แต่อย่างไรก็ตาม ต้องยึดหลักศีลธรรมถ้าไม่มีกฎหมายให้อำนาจอยู่ดีๆ จะไปทำลายทรัพย์สินของส่วนรวมไม่ได้ ถ้าไม่มีคำสั่งให้อำนาจที่ถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้เข้าใจตนด้วย
เมื่อถามว่า มีการพูดถึงว่าอยากให้ คสช.ใช้มาตรา 44 เข้ามาแก้ไขเรื่องนี้ ศาลเห็นว่าอย่างไร เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวว่า ก็ไม่มีความเห็นอะไร คนที่มีอำนาจหน้าที่ก็ต้องปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่ของตัวเอง ในส่วนของตนก็อย่างที่เรียนแล้วว่ามี ก.บ.ศ.เป็นผู้พิจารณา ส่วนใครมีหน้าที่รับผิดชอบอะไรก็ทำในส่วนนั้น ส่วนถ้าใช้มาตรา 44 แล้วจะขัดกับข้อกฎหมายหรือไม่นั้น เหตุการณ์ยังไม่เกิดขึ้น ดังนั้นเราจะไม่สมมุติเหตุการณ์อะไรขึ้นมา ซึ่งขั้นตอนที่มาแถลงเพราะต้องการแถลงจุดยืน ให้เห็นว่าเราพร้อมที่จะฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย และพร้อมที่จะรับฟังข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์กับส่วนรวมกับทุกฝ่าย
เมื่อถามว่า มีแนวทางจะเป็นไปได้หรือไม่ว่าผู้พิพากษาที่จะต้องมาอยู่ที่บ้านพักดังกล่าวกว่า 30 หลัง มีท่านใดหรือไม่ที่เสนอให้ยุติการสร้างไปเลย และยินดีพร้อมที่จะไม่อยู่บ้านพักบริเวณก่อสร้างดังกล่าวเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวว่า ยังไม่ได้สำรวจความคิดเห็นเนื่องจากระบบราชการเราไม่ได้อาศัยแค่ความสมัครใจของคนใดคนหนึ่ง แต่เราต้องทำให้ถูกต้องด้วย จะทำแค่ถูกใจแล้วเอาความพอใจของแต่ละคนไม่ได้ และขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับเสียงสะท้อนใดในเรื่องนี้จากผู้พิพากษา
เมื่อถามว่า การออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านแม้จะไม่ใช่ประชาชนทั้งหมดทั้งประเทศ แต่เขาได้มองถึงความไม่เหมาะสมในการใช้พื้นที่ราชพัสดุ ซึ่งในฐานะประชาชนก็ต้องการเข้ามาใช้สาธารณประโยชน์ แล้วศาลจะชี้แจงได้อย่างไร ว่านอกจากก่อสร้างอาคารศาลพิจารณาคดีแล้วพื้นที่นี้ประชาชนจะใช้สาธารณประโยชน์ได้อย่างไรบ้างเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวว่า ขณะนี้พื้นที่ก็เป็นการใช้ประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ ซึ่งเราก็ยินดีที่จะปลูกป่าโดยในวันที่ 21 เม.ย.นี้ ก็ขอเชิญชวนให้ทุกคนเข้ามาร่วมปลูกป่ารักษาสิ่งแวดล้อมกับเรา และขอให้เสนอมาด้วยว่าถ้าต้องการใช้สาธารณประโยชน์ ต้องการใช้แบบใด เพราะเราไม่ได้ปิดกั้นข้อเสนอแนะใดๆ เลยเพียงแต่ทุกคนต้องเสนอด้วยพื้นฐานเหตุและผล ไม่ใช่ความโกรธความไม่พอใจหรือความรุนแรงเพราะไม่ใช่ทางแก้ปัญหา ซึ่งศาลเองก็พร้อมจะรับฟังข้อคิดเห็นที่ประชาชนเสนอแนะมา โดยจะเสนอให้ ก.บ.ศ.พิจารณา
เมื่อถามว่า สังคมอาจจะเห็นว่าเมื่อบ้านที่พักยิ่งอยู่บนพื้นที่สูง จะเหมือนเป็นบ้านพักตากอากาศ แล้วศาลมีแนวโน้มที่จะรื้อบ้านพักนี้ และย้ายสถานที่ก่อสร้างบ้านพักไปอยู่ด้านล่างหรืออำนวยความสะดวกให้ข้าราชการด้วยการจัดรถรับส่งหรือค่าใช้จ่ายในการเดินทางหรือไม่ เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวชี้แจงว่า ประเด็นนี้ต้องให้เป็นข้อเสนอก่อน แล้วตนจึงจะเสนอ ก.บ.ศ.พิจารณาได้ว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะโดยลำพังตนไม่มีอำนาจที่จะสั่งรื้อถอนสถานที่ราชการได้ อย่างไรก็ดีตนก็พยายามมองโลกในแง่ดี ว่าเงินที่ลงไปก็เป็นเงินภาษีของประชาชนและถ้าเราปลูกป่าแล้วคืนสู่สภาพแวดล้อมเดิม และทำให้พื้นที่ตรงนั้นเขียวเหมือนเดิม รวมทั้งการช่วยอยู่ดูแลพื้นที่ก็จะทำให้เห็นว่าคนอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมได้ และทั้งแผนระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาวที่เราเสนอก็เชื่อว่าทำได้
หลายประเด็นก็มี “ที่มาที่ไป” ไม่เลวนะครับ แต่ก็ไม่ง่ายที่จะยอมรับ แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือการพูดคุยในเร็ววันนี้ เพื่อ “หาทางออกที่ดีที่สุด” สำหรับความต้องการของทุกฝ่าย และความ “เหมาะสม” เรื่องถูกต้องหรือไม่ถูกต้องคงเห็นกันง่ายแล้ว แต่บนความถูกต้องแต่ไม่เหมาะสม ไม่น่าพึงพอใจนี้ จุดยุติของงบประมาณที่ถูกใช้ไปแล้ว เราจะเลือกวิธี “จบ” มันยังไง?!?!?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี