ใกล้ถึงวันครอบครัว วันผู้สูงอายุ และวันสงกรานต์ หรือวันเริ่มศักราชใหม่ของไทยเรา
ความหมายของวันครอบครัว ผู้สูงอายุนับวันจะทวีความสำคัญมากขึ้น เปรียบเสมือนหน่วยย่อยที่มีความสำคัญยิ่งของกองทัพ ที่จะต้องเกาะกุมพัฒนา เพื่อรองรับข้าศึกและสงครามที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
อีกประมาณ 10 ปี ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับสงครามใหม่ ข้าศึกใหม่ ที่เราหลีกหนีไม่พ้น คือ สังคมสูงวัย โดยสังคมไทยจะมีผู้สูงอายุเป็นสัดส่วนที่สูงมากขึ้น ถึงเกือบระดับร้อยละ 30
พูดง่ายๆ ว่า เกือบ 1 ใน 3 ของคนไทย จะเป็นผู้สูงอายุ ขณะเดียวกัน สัดส่วนของคนในวัยทำงานจะลดลง
ภาระก็ต้องเกิดกับคนวัยทำงานมากยิ่งขึ้น
ส่วนเด็กจะมีอัตราเกิดลดน้อยลงมาก คนไทยนิยมมีลูกเพียง 1-2 คน บางคนก็ไม่ยอมมีลูก ยิ่งกว่า
นั้น เด็กจำนวนไม่น้อยเกิดจากคนที่ไม่พร้อม เรียกว่า “คนท้องที่ไม่พร้อม แต่คนพร้อมไม่ท้อง”
คุณภาพเด็กไทยที่จะพัฒนาเป็นคนทำงานในอีก 10-20 ปีข้างหน้า จะเป็นอย่างไร ใครจะจ่ายภาษีให้ส่วนกลาง
สวัสดิการของรัฐที่จะให้แก่ประชาชนคนไทยคงจะถูกกระทบ และประชาชนหวังพึ่งพาได้ยาก
เมื่อสงครามใหม่ ศัตรูใหม่ของเรากำลังจะเกิดใน 10 ปีเศษเป็นต้นไป คนไทยวัย 40-50 ปี ในปัจจุบัน คือ
กลุ่มคนที่จะต้องพบกับปัญหาเสมือนเข้าสู่สงครามของ “สังคมสูงวัย”
คนไทย ครอบครัวไทย จึงต้องเตรียมพร้อม เพื่อรองรับ “สังคมสูงวัย”
1. ต้องสร้างทัศนคติที่เห็นว่า ผู้สูงอายุ คือ ผู้เชี่ยวชาญชีวิต อุดมด้วยประสบการณ์ มิใช่มองเป็นภาระ แต่จะต้องนำประสบการณ์ ภูมิปัญญามาใช้ประโยชน์ และทำงานเพื่อสังคมและตัวเองได้
2. ครอบครัว จึงเป็นหน่วยสังคมที่สำคัญ ที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลระหว่างคน 3 วัย คนสูงอายุ คนวัยทำงาน และเด็ก แนวคิดที่จะให้ผู้สูงอายุไปอยู่รวมกัน ทำได้ แต่แพง และไม่คุ้มค่า อาจจะทำได้เฉพาะคนที่มีเงินสะสมในชีวิตจำนวนมาก แต่ก็เปิดโอกาสให้ลูกนำพ่อแม่มาปล่อยทิ้ง
3. คนวัยทำงานในปัจจุบัน จะต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค โดยเปลี่ยนจากการกู้ยืม ผ่อนส่ง เป็นการออมเพื่อตัวเองในวันที่ไม่สามารถทำงานได้ จะต้องวางแผนล่วงหน้า ว่าถ้านับจากวันที่ไม่หยุดทำงาน จะมีชีวิตอยู่อีกกี่ปี และต้องมีเงินออมเท่าไหร่ในวันหยุดทำงาน เช่น
สมมุติว่า หยุดทำงานวันนี้ อาจมีชีวิตอยู่ได้อีกสัก 20 ปี ต้องการใช้เงินเดือนละ 20,000 บาท ก็จะต้องมีเงินออมในวันที่หยุดทำงาน 5 ล้านบาท
แต่หากต้องการใช้เงิน 40,000 บาทต่อเดือน ก็จะต้องมีเงินออมในวันหยุดทำงาน 10 ล้านบาท
ดังนั้น จะต้องเริ่มออมแต่เมื่อไหร่ เดือนละเท่าไหร่
ที่จะหวังพึ่งรัฐ หรือพึ่งลูก ก็อาจจะได้บ้างเพียงบางคน แต่หวังมากก็จะอยู่แล้วแก่ตายเปล่าๆ
ขณะนี้ มีคนไทยที่ฉลาดรอบคอบ ออมด้วยต้นไม้ เขาปลูกไม้ยืนต้นตั้งแต่ตัวเขาอายุ 30 ปี เมื่อเกษียณจากการทำงานต้นไม้ที่ปลูกไว้ก็จะมีอายุมากกว่า 30 ปี ซึ่งจะมีขนาดใหญ่ มูลค่าต้นละหลายหมื่นบาท ปลูกสัก 2-3 พันต้น ก็เป็นบำนาญชีวิตยามชรา
4. กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ที่เริ่มในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ แต่มาหยุดชะงักในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ และมาเริ่มใหม่ในสมัยรัฐบาลประยุทธ์ จะต้องประชาสัมพันธ์ เอาจริงมากกว่านี้
เพราะเป็นโครงการที่ส่งเสริมให้คนทำงานออมเงินกับธนาคาร แล้วรัฐจะเติมเงินในบัญชีให้อีกจำนวนหนึ่ง
และจะได้เงินทยอยคืนเมื่อเกษียณจากการทำงาน เป็นบำนาญชีวิต ที่หากตายก่อนจะได้รับเงินที่ออมไว้บวกกับเงินที่รัฐเติมสมทบให้ เงินทั้งหมดที่เหลือก็จะตกเป็นของลูกหลาน
5. รัฐต้องพิจารณาการบังคับการออม โดยนโยบายการเก็บค่าธรรมเนียมเพื่อการออม สมมุติ 3-5% ในทุกครั้งที่มีการซื้อสินค้า คล้ายๆ กับการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% ในปัจจุบัน
แต่ค่าธรรมเนียมเพื่อการออม จะระบุชื่อของผู้จ่าย โดยใช้เลข 13 หลัก หรือแถบแม่เหล็กว่าเป็นเงินออมของใคร และเมื่อผู้ใช้จ่าย (ผู้ออม) เกษียณการทำงาน รัฐก็นำเงินดังกล่าวเฉลี่ยคืนให้เจ้าของ
โดยรัฐจะเพิ่มเงินให้อีกบางส่วนเนื่องจากรัฐได้นำเงินดังกล่าวไปใช้ก่อน และอาจเพิ่มเติมให้กับคนที่มีรายได้น้อย ใช้จ่ายน้อย อีกเป็นพิเศษก็ได้
6. การขยายเวลาอายุเกษียณ คงจะต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะปัจจุบัน คนไทยแข็งแรง สุขภาพดีขึ้น สามารถทำงานได้ยืนยาวขึ้น
เดิม เกษียณอายุราชการ 60 ปี เอกชน 55 ปี เพราะค่าเฉลี่ยอายุขัยของคนไทยสมัยนั้นเพียง 59 ปี แต่ปัจจุบัน ค่าเฉลี่ยอายุขัยของคนไทยอยู่ที่ 77 ปี (ผู้หญิง 79 ปี)
แต่การขยายอายุเกษียณเป็นการทั่วไป ก็อาจมีปัญหากับงานที่จะต้องใช้พละกำลัง ความว่องไว เช่น คนขับรถบัส คนขับรถไฟ คนขับเครื่องบิน ตำรวจ ทหาร ฯลฯ จึงควรพิจารณาเฉพาะงานที่ใช้ความเชี่ยวชาญ ชำนาญการ และขาดแคลนในหน่วยงาน อีกทั้ง เจ้าตัวก็ต้องมีสุขภาพดี และยินดีที่จะทำงาน
7. การกระจายงานให้อยู่ใกล้ชุมชน ชนบท จะช่วยให้คนทำงานไม่ต้องเดินทางทั้งบ้าน ทั้งผู้สูงอายุและเด็ก เป็นการส่งเสริมครอบครัวของคน 3 วัย ที่อยู่กันพร้อมหน้า
8. อนาคต คนทำงานที่เราพึ่งพา ไม่ว่าจะเป็นคนทำงานจากเมียนมา กัมพูชา และ สปป.ลาว จะพึ่งได้น้อยลง เพราะโครงสร้างประชากรของเขาจะเข้าสู่สังคมสูงวัยตามติดประเทศไทยในเวลาไม่นาน อีกทั้งการใช้เครื่องจักรอัตโนมัติ หรือหุ่นยนต์ก็กำลังเข้ามาแทนที่
การวางแผน การใช้แรงงาน สถานที่ใช้ประกอบการ กับการให้คนชนบทของไทยได้ทำงานใกล้บ้าน
ใกล้ครอบครัว จึงเป็นสิ่งจำเป็น
9. สังคมไทยจะต้องเตรียมรับมือ ปรับสภาพแวดล้อม ทั้งบ้าน สถานที่ทำงาน การเดินทาง โครงสร้างพื้นฐาน ให้สอดคล้องเหมาะสมกับที่เรามีผู้สูงวัย
จำนวนมาก กว่า 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ และมีทั้งเพศหญิงและ
เพศชาย ทุกภูมิภาค (จะลงรายละเอียดในโอกาสต่อไป)
10. สังคมไทยต้องปรับระบบสุขภาพ ที่จะมีผู้สูงอายุติดบ้าน ติดเตียง มากขึ้น รวมถึงจะต้องให้ผู้สูงอายุที่มีสุขภาพแข็งแรง สามารถยืดเวลาการเจ็บป่วยก่อนเสียชีวิตให้สั้นที่สุด
11. ผู้สูงอายุจะต้องรวมตัวกันเป็นชุมชน ชมรม ทำงานร่วมกับวัด โรงเรียน โรงพยาบาลสุขภาพตำบล โรงพยาบาลชุมชน และองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นอย่างไร เพื่อสร้างเสริมสุขภาวะที่ดีของคนไทย เสริมความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น ซึ่งไม่ใช่แค่การดูแลคนแก่ แต่จะเป็นการดึงศักยภาพคนสูงวัยมาใช้ในการสร้างชุมชนท้องถิ่นที่มั่นคงและยั่งยืน
สรุป
สังคมสูงวัยเกิดแล้ว และจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เสมือนสงครามใหม่ ข้าศึกใหม่ ที่ไม่เคยเกิดในประเทศไทย ปัญหาจึงมีอยู่ว่า เราจะวางระบบรับมืออย่างไร ใครหน่วยงานไหนต้องทำอะไร ในช่วงเวลาไหน ก่อน-หลัง อย่างไร จึงจะสอดคล้องต้องกัน
ครอบครัว ผู้สูงอายุ ในโอกาสวันสงกรานต์ จึงเป็นช่วงที่มีความหมายมาก เพราะเป็นหน่วยและองค์กรทางสังคมที่สำคัญที่สุด ที่คนในครอบครัวจะได้ช่วยกันคิดว่าจะช่วยดูแล ผนึกกำลัง วางแผนชีวิตของครอบครัวอย่างไรในอนาคตของ “สังคมสูงวัย”
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี