เล่าสู่กันฟังโดย “นฤนาท ยอดอาจ” ผู้สื่อข่าวแนวหน้าประจำรัฐสภา ว่า ตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งสูงสุดในอำนาจฝ่ายบริหาร ซึ่งเป็นหนึ่งใน 3 เสาหลักของ อำนาจอธิปไตย ที่ยังมีฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ
ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของข้าราชการ ในการปฏิบัติหน้าที่ในการบริหารบ้านเมืองให้มีความเจริญก้าวหน้า และใช้อำนาจเพื่อให้ประชาชนในประเทศอยู่อย่างสงบสุข รัฐธรรมนูญแทบทุกฉบับ จึงได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับคุณสมบัติ ลักษณะต้องห้ามและที่มาของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เอาไว้อย่างละเอียด และเหมาะสม ตามสภาวการณ์ในประเทศช่วงเวลานั้น
สำหรับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน 2560 มีขั้นตอนการคัดเลือกบุคคลที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี อย่างละเอียด ทั้งการเริ่มต้นตั้งแต่เปิดเผยรายชื่อของที่พรรคการเมืองเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ก่อนวันปิดสมัคร รับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคละไม่เกิน 3 ชื่อ โดยเจ้าตัวผู้ที่ถูกเสนอต้องยินยอมด้วยคุณสมบัติที่เข้มข้นมากกว่าเดิมเพื่อป้องกันบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ มานั่งบริหารประเทศ เป็นต้น
แต่ที่เป็นประเด็นสำคัญมากรัฐธรรมนูญฯ เปิดช่องให้บุคคลที่ไม่ได้เป็น สส. ให้มาดำรงตำแหน่งนายกฯ ได้หรือที่เรียกคำจำกัดความง่ายๆ ได้ว่า “นายกฯ คนนอก” ที่หลายคนมองว่าล้าสมัยและเป็นสิ่งที่แปลกปลอมในระบอบประชาธิปไตย
ทั้งนี้ ในการเสวนา “นายกรัฐมนตรีคนนอก ตามรัฐธรรมนูญ 2560 และแนวโน้มการเมืองไทย” ที่จัดโดย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เนื่องในโอกาส “วันสัญญา ธรรมศักดิ์” ซึ่งเป็นวันที่ระลึกถึงคุณูปการที่ “อ.สัญญา ธรรมศักดิ์” ที่มีต่อประเทศชาติและวงการกฎหมายก็ได้มีการพูดถึงประเด็น “นายกฯ คนนอก” โดยมุมมองในมิติของ “นิติ-รัฐศาสตร์” จาก 3 นักวิชาการ ได้แก่ ศ.ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รศ.ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายบริหารและความยั่งยืน ม.ธรรมศาสตร์
โดย “ศ.ดร.นันทวัฒน์” กับ “รศ.ดร.ศุภสวัสดิ์”ได้ร่วมกัน สรุปที่มาของนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยเอาไว้ว่า ที่มีอยู่ 5 แบบ คือ
1.นายกฯ มาจาก สส. ผ่านกระบวนการพิจารณาจากรัฐสภา ซึ่งถือเป็นอุดมคติตามสังคมประชาธิปไตย ถือเป็นนายกฯคนใน
2.ได้รับความเห็นชอบจากสภา แต่ไม่ได้เป็น สส.
3.นายกฯ ที่คณะรัฐประหาร เชิญมาเป็นนายกฯ เพราะเกรงข้อครหาจากฝ่ายต่างๆ
4.นายกฯ มาจากผู้นำคณะรัฐประหาร เพื่อควบคุมสถานการณ์บ้านเมือง
5.นายกฯในสถานการณ์วิกฤติ เช่น นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ภายหลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 และ นายอานันท์ ปันยารชุน ภายหลังจากเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ 2535
ส่วนคำจำกัดความของคำว่า “นายกฯ คนนอก” นั้น “อ.ปริญญา” ได้ให้คำนิยามสั้นๆ แต่ได้ใจความคือ “มีการเลือก สส.ไปแล้ว แต่มีคนนอกวง มาเป็นนายกฯ” โดยหากนิยามตามความหมายนี้ ประเทศไทยก็จะมีนายกฯ คนนอก เพียงแค่ 4 คน คือ จอมพลถนอม กิตติขจร พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ พล.อ.เปรมติณสูลานนท์ และ พล.อ.สุจินดา คราประยูร
ทั้งนี้ ประเด็น “นายกฯคนนอก” ที่ทำให้ “นักการเมือง” หวาดผวานั้น “อ.นันทวัฒน์” ก็ได้ย้อนความไปว่า ก่อนหน้านี้ในร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มี อ.บวรศักดิ์อุวรรณโณ เป็นประธาน นั้น ก็ได้กำหนดแนวทางให้ สส. ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของสมาชิกที่มีอยู่ สามารถดำเนินการหานายกฯ คนนอกได้แต่สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) มีมติไม่ให้ผ่าน และในร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ของ อ.มีชัย ฤชุพันธุ์นั้นก็ไม่ได้กำหนดเรื่องนายกฯคนนอกแต่คสช.มีความไม่พอใจกับร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวเลยจึงเป็นที่มาที่กำหนด ในคำถามพ่วงของการทำประชามติที่ระบุว่าท่านเห็นชอบหรือไม่ว่าเพื่อให้การปฏิรูปประเทศเกิดความต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ สมควรกำหนดไว้ในบทเฉพาะกาลว่า ในระหว่าง 5 ปีแรก นับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ ให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี”
ทำให้ “อ.ปริญญา” ระบุว่า “ดังนั้น ในกติกาตามรัฐธรรมนูญ 2560 หากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องการกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี จะมี 2 ทางเลือก คือ มาในบัญชีพรรคการเมือง และมารอบ 2 หลังรัฐสภาเลือกในบัญชีไม่ได้ โดยทางนี้จะใช้จำนวน สส.เพียง 126 เสียง เนื่องจากมี สว.ในมือ 250 เสียง ซึ่งช่องทางนี้ไม่น่าจะยาก ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะกลับมาเป็นนายกฯ” แต่ก็มีการสะกิดด้วยว่า “แต่จะมีปัญหาว่าอยู่ไม่ได้ เพราะหากมีเสียง สส.ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ก็จะถูกปลดได้จากมติไม่ไว้วางใจ และงบประมาณก็ไม่ผ่านสภาด้วย”
สำหรับผู้เขียนแล้ว เห็นว่า การที่มีการเปิดช่องให้มี “นายกฯคนนอก” นั้น ก็น่าจะเป็นไปตามที่ “อ.มีชัย” เคยกล่าวไว้ว่า “การจะมี(นายกฯ)คนนอกหรือไม่มีคนนอกเป็นเรื่องที่พรรคการเมืองเป็นผู้กำหนดทั้งสิ้น”
ถ้าบรรดาพรรคการเมือง ทั้งเก่าและใหม่ ต้องการ “นายกฯ คนใน” นั้น ก็ต้องพยายามหาตัวบุคคลที่มีความเหมาะสมตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด มาให้ประชาชนได้ตัดสินใจเลือก และให้โหวตกันให้จบใน มาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญ
แต่ถ้าไม่จบ ก็ต้องไปลุ้นนายกฯคนนอกตามมาตรา 272 นั้น ซึ่งถ้าเป็นไปตามโรดแมป (ปัจจุบัน) ก็น่าจะประมาณ พฤษภาคม-มิถุนายน 2562
ดังนั้น เอาเข้าจริงๆ แล้ว ที่มาของนายกฯ จะมาจากไหน ก็ไม่สำคัญว่า นายกฯ คนนั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ขยันหมั่นเพียร ซื่อสัตย์สุจริต และมีคุณธรรมเพื่อนำพาประเทศชาติไปสู่การพัฒนาและประชาชนอยู่กันอย่างสงบสุข สมดั่งเป็นนายกรัฐมนตรีของประชาชนและประเทศไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี