ช่วงต้นเดือนเมษายนมีข่าวคราวที่น่าประหลาดใจเล็กๆ ข่าวหนึ่ง เป็นเนื้อความว่าในการให้สัมปทานขุดเจาะพลังงานในบางแหล่งของประเทศไทยที่กำลังจะให้สัมปทานกันอยู่ในขณะนี้ มีข้อเรียกร้องให้ผู้ได้สัมปทานต้องโอนแท่นขุดเจาะให้เป็นของรัฐก่อนที่จะลงมือดำเนินการ
ใครอ่านข่าวนี้แล้วก็คงจะเห็นดีเห็นงามตามไปด้วย เพราะเมื่อใช้เหตุผลทั่วไปที่จะทำให้รัฐได้ทรัพย์สินจากเอกชนก็อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องควรจะช่วยกันเรียกร้องหรือกดดัน เพื่อให้รัฐได้รับประโยชน์
แต่ทว่าเรื่องดังกล่าวนี้ต้องคิดกันให้ดีๆ และต้องทำความเข้าใจให้แจ่มแจ้งเสียก่อน มิฉะนั้นก็จะถูกแหกตาและเสียค่าโง่ รวมทั้งจะเกิดความเสียหายแก่บ้านเมือง เป็นจำนวนมหาศาล เพราะเมื่อรับโอนมาเป็นของรัฐแล้วจะใช้ประโยชน์อันใดไม่ได้เลย แต่รัฐต้องมีภาระในการรื้อถอน ซึ่งจะต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาล
เพราะเหตุนี้เรื่องดังกล่าวนี้ ทั้งรัฐ ทั้ง คสช. และประชาชน ผู้มีความสุจริตใจต่อบ้านเมือง จะต้องทำความเข้าใจในเรื่องนี้ให้แจ่มแจ้งเสียก่อน
และเป็นเรื่องที่ไม่ยาก เพราะมีตัวอย่างที่เป็นปัญหาคาราคาซังที่จะเกิดความเสียหายยับเยินแก่บ้านเมืองจนสุดคณานับให้เห็นอยู่ตำตาอยู่แล้ว และจนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้แก้ไขให้เป็นมรรคเป็นผลเลย
ก่อนอื่นก็ต้องประกาศให้คนทั้งหลายได้รู้โดยทั่วกันว่า แท่นเจาะน้ำมันหรือแท่นเจาะแก๊สทั้งหลายทั้งในบนบกและในทะเลนั้น เมื่อเขาขุดเจาะเอาน้ำมันและแก๊สไปหมดแล้ว แท่นขุดเจาะเหล่านั้นจะใช้ประโยชน์อันใดไม่ได้เลย จะต้องรื้อถอนออกไปสถานเดียวเท่านั้น และรื้อถอนออกไปก็ใช้ทำอะไรไม่ได้ ส่วนที่เป็นปูนซีเมนต์ก็ต้องทุบทิ้ง ส่วนที่เป็นเหล็กก็เป็นเศษเหล็กต้องเอาไปหลอมใหม่หรือใช้ทำปะการังเทียม สุดแท้แต่ชนิดและคุณภาพของเศษเหล็กนั้น
ดังนั้นจะเรียกร้องให้รัฐรับโอนแท่นขุดเจาะมาเป็นของรัฐหาสากกะเบืออะไรกันเล่า เพราะถ้าเรียกร้องเอามาเป็นของรัฐแล้ว รัฐก็จะต้องเป็นภาระในการรื้อถอน ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก แต่เศษปูนและเศษเหล็กทั้งหลายที่รื้อมานั้นก็ใช้ทำประโยชน์อันใดไม่ได้
ก็จะกลายเป็นว่า เรียกร้องให้รัฐรับภาระรื้อถอนและเสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนแทนผู้ได้สัมปทาน นี่มิใช่ใจดำหรือเอาเปรียบรัฐจนวิปริตผิดปกติไปดอกหรือ
ยังไม่จบอยู่แค่นั้น ความเสียหายยังมากกว่านั้น เพราะในการรื้อแท่นขุดเจาะนั้น จะต้องดำเนินการรื้อถอนด้วยเทคนิค และเทคโนโลยีเฉพาะ ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 ส่วน
ส่วนแรก คือการตัดและรื้อถอนแท่นขุดเจาะที่อยู่เหนือผิวน้ำ ซึ่งจะต้องจัดทำนั่งร้านในทะเล หรือใช้เรือเฉพาะที่จัดหามา เพื่อการตัดและทำงานแท่นขุดเจาะส่วนที่อยู่เหนือน้ำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและหนักหนาสาหัส ต่างกับการตัดหัวเสาเข็มที่ทำฐานรากอาคารมากมายนัก
ในส่วนแรกนี้จะทำก่อนต่างหาก เพราะเป็นส่วนที่ง่ายที่สุด ก็ลองนึกดูแล้วกันว่า ขนาดส่วนที่ง่ายที่สุดยังต้องทำกันปานนี้ แล้วส่วนที่ยากที่สุดจะเป็นฉันใด
ส่วนที่สอง คือการตัดและรื้อขนแท่นขุดเจาะที่อยู่ใต้ผิวน้ำลึกลงไปจนถึงชั้นผิวดิน ซึ่งอาจจะลึกหลายสิบเมตรตามความลึกของท้องทะเลในพื้นที่ที่ได้รับสัมปทานนั้น การตัดและรื้อถอนแท่นขุดเจาะนี้ยุ่งยากมากกว่าส่วนแรก เพราะต้องใช้นักประดาน้ำลงไปตัดในน้ำลึก ซึ่งอาจมีกระแสน้ำเชี่ยวด้วย การตัดแท่นเหล็กและซีเมนต์ขนาดใหญ่ใต้ทะเลลึกหนักหนาสาหัสประการใดก็คิดดูกันเอาเอง และเมื่อตัดรื้อแล้วก็ต้องขนย้ายไปที่อื่นเพื่อไม่ให้เกิดมลภาวะในพื้นที่นั้น
ส่วนที่สาม เป็นส่วนที่ลำบากยากเย็นและอันตรายที่สุด คือการดึงเอาฐานแท่นขุดเจาะขึ้นจากชั้นใต้ดิน รวมทั้งการปิดท่อขุดเจาะ เพื่อไม่ให้น้ำมันและแก๊สหลงเหลืออยู่ขึ้นมาก่อให้เกิดเป็นมลภาวะในท้องทะเล ซึ่งจะต้องดำเนินการในเทคโนโลยีและเทคนิคขั้นสูง และต้องดำเนินการให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎเกณฑ์การรักษาและคุ้มครองสภาพแวดล้อมในท้องทะเล ซึ่งเป็นกฎสากลที่ต้องดำเนินการ
การรื้อถอนแท่นขุดเจาะน้ำมันและแก๊สทั้งสามขั้นตอนนั้นมีความยุ่งยากซับซ้อนและใช้เทคนิคเทคโนโลยีซับซ้อนชั้นสูง เพื่อให้เป็นไปตามกฎพิทักษ์คุ้มครองสภาพแวดล้อมของท้องทะเล ทั้งเป็นเรื่องที่ทำได้โดยยาก และในโลกนี้ก็มีผู้ให้บริการไม่กี่ราย
ดังนั้นค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนจึงมีจำนวนสูงมาก ตั้งแต่ราคา 100 ล้านบาท จึงไปจนถึง หลายร้อยล้านบาท แต่สำหรับผู้ได้รับสัมปทานค่ารื้อถอนเหล่านี้เทียบกันไม่ได้จากผลประโยชน์ที่ได้ไปซึ่งพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันหรือแก๊สจากประเทศไทย
และยิ่งเทียบกันไม่ได้กับผลประโยชน์ที่ได้รับจากการสัมปทานประมาณ 500,000 ล้านบาท โดยจ่ายค่าสัมปทานเพียง 15 ล้านบาท และถ้ารัฐจะต้องรับภาระรื้อแท่นขุดเจาะ แท่นละกว่า 100 ล้านบาทขึ้นไปแล้ว ใครๆ ก็สามารถกล่าวหาได้เต็มภาคภูมิว่านี่คือการทรยศชาติ และการขายชาติที่โหดเหี้ยมอำมหิตต่อประเทศและประชาชนมากที่สุด
ก็ต้องบอกด้วยว่า ขณะนี้มีแท่นขุดเจาะพลังงานเฉพาะในอ่าวไทยที่ขุดเจาะสูบเอาพลังงานเสร็จไปแล้ว แต่แท่นเจาะยังทิ้งร้างอยู่ โดยเป็นภาระของผู้รับสัมปทานที่จะต้องรื้อถอนออกไป แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทำเป็นเงียบเฉยไป ปล่อยให้แท่นขุดเจาะเหล่านี้เป็นอนุสาวรีย์แห่งความอัปยศและการปล้นชาติดื่นดาษไปในอ่าวไทย
ที่น่าแปลกใจก็คือ หน่วยงานที่กระเหี้ยนกระหือรือคิดแต่จะให้สัมปทานในเรื่องนี้ แต่กลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ดำเนินการให้ผู้ได้รับสัมปทานรื้อถอนอนุสาวรีย์แห่งความอัปยศออกไปเลย
สักวันหนึ่งเมื่อผู้ได้รับสัมปทานเสร็จสิ้นในการตักตวงเอาผลประโยชน์จากประเทศไทยแล้วกลับไปแล้ว หรือเมื่ออายุความขาดลง ภาระหน้าที่ในการรื้อถอนและออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดนับแสนล้านบาทก็จะตกอยู่แก่ประเทศไทยและคนไทยที่ต้องจ่ายเงินแทนผู้ได้รับสัมปทาน
เป็นเรื่องโหดมหาโหดแก่ประเทศและประชาชนยิ่งนัก และที่ค้างคาอยู่นั้นยังไม่พออีกหรือ ยังจะมาเล่นเล่ห์อุบายให้รัฐรับภาระรื้อถอนและค่าใช้จ่ายในการให้สัมปทานแปลงใหม่อีกแล้ว!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี