เมื่อวานนี้ 10 เมษายน 2561 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และพวก จัดอีเว้นท์งานถนัด สวมบทบาทคนจรจัด คนไร้ที่พึ่ง บุก ป.ป.ช. อ้างว่าทวงถามความคืบหน้ารื้อคดีสลายชุมนุมเสื้อแดง ในโอกาสครบ 8 ปี เหตุการณ์สลายการชุมนุม
ที่น่าสมเพช มิใช่การแต่งชุดคนจรจัด หรือคนไร้ที่พึ่ง เพราะคนไร้ที่พึ่งบางคน ก็มีเกียรติ ศักดิ์ศรี สัจจะ และไม่เคยหลอกคนมาตายเพื่อให้ตัวเองได้มีอำนาจรัฐ แต่น่าเวทนาที่สุด ตรงที่นายณัฐวุฒิได้เข้าไปเสวยสุขเป็นรัฐมนตรี แล้วก็พรรคการเมืองในยุครัฐบาลของนายณัฐวุฒิเองที่รวบรัดตัดตอน ข่มขืนสภากลางดึก เพื่อมุ่งจะออกกฎหมายนิรโทษกรรมล้างผิดให้คนฆ่า คนเผา พ่วงไปกับคนโกง
แล้วมาวันนี้ ผ่านไป 8 ปี พอได้กลิ่นว่าจะมีการเลือกตั้ง ก็กลับมาแต่งชุดเหมือนจำอวด ไปเคลื่อนไหวแสดงบทบาทเรียกร้องความเป็นธรรมให้ 99 ศพ ซึ่งในจำนวนนั้น รวมประชาชนผู้บริสุทธิ์ และทหารที่ถูกกองกำลังติดอาวุธสังหารโหดกลางกรุงเอาไว้ด้วย
ในโอกาสนี้ ขอให้กลับไปอ่านรายงานฉบับสมบูรณ์ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่ได้สอบสวนรวบรวมข้อเท็จจริงอย่างละเอียด
เพื่อเตือนสติ และความทรงจำ ด้วยความเคารพต่อความจริง ขอยกตัวอย่างเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 ความรุนแรงในเหตุการณ์สะพานพระปิ่นเกล้า สี่แยกคอกวัว หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ดังนี้
1. ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในวันที่ 10 เมษายน ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 26 คน
เป็นพลเรือน 21 คน เป็นทหาร 5 คน
วันนั้น มีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 864 คน ในจำนวนนี้เป็นทหารกว่า 300 คน ทั้งเล็กน้อยและสาหัส ยานยนต์ทหาร รวมทั้ง รถสายพานลำเลียงหุ้มเกราะ และอาวุธยุทธภัณฑ์ ถูกผู้ชุมนุมทุบทำลายหรือใช้ไฟเผาเสียหายหลายรายการ อาวุธปืนสงคราม ปืนลูกซอง และเครื่องกระสุน ถูกผู้ชุมนุมและ นปช. ยึดไปจำนวนมากและทางราชการยังไม่ได้คืน
2. ความรุนแรงบริเวณสะพานพระปิ่นเกล้า
เหตุเกิดเมื่อยานยนต์ลำเลียงพยายามลำเลียงเจ้าหน้าที่ทหารข้ามสะพานพระปิ่นเกล้า จากฝั่งธนบุรีเพื่อไปสมทบกับเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ถนนราชดำเนินกลาง เมื่อเวลาประมาณ 16.00 น. ขณะที่รถยนต์ลำเลียงส่วนหนึ่งอยู่บนสะพานพระปิ่นเกล้า นายยศวริศ ชูกล่อม (เจ๋ง ดอกจิก) แกนนำ นปช. และการ์ด นปช. พร้อมผู้ชุมนุม ประมาณ 1,000 คน ใช้กำลังสกัดกั้นยานยนต์เจ้าหน้าที่ ขณะที่เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลว่ามีคำสั่งไม่ให้ใช้กำลัง ผู้ชุมนุมใช้กำลังยึดอาวุธ ปลย.พร้อมเครื่องกระสุนและยุทธภัณฑ์จำนวนมากในรถสัมภาระ นำไปแสดงไว้ที่เวทีปราศรัยใหญ่ของ นปช. ที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ พร้อมควบคุมตัวเจ้าหน้าที่ทหารคนหนึ่งมานั่งแถลงข่าวที่หลังเวทีสะพานผ่านฟ้า นอกจากนี้ ผู้ชุมนุมบางคนยังทำลายยานพาหนะและทรัพย์สินอื่นๆ จำนวนหนึ่งของทางราชการ หรือทำให้เสียหาย ส่วนเจ้าหน้าที่ที่เหลือบนสะพานพระปิ่นเกล้าได้ถอนกำลังกลับไปโดยไม่มีการปะทะ
จากการตรวจสอบพบว่า อาวุธปืน กระสุน และยุทธภัณฑ์ ที่แกนนำการ์ด และผู้ชุมนุม นปช. ได้ยึดและนำไปไว้ที่เวทีปราศรัยนั้น มีปืนลูกซอง 35 กระบอก พร้อมกระสุนยาง 1,152 นัด ปลย. ชนิดทราโว่ 12 กระบอก พร้อมกระสุนจริง 700 นัด และยุทโธปกรณ์อื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง จากการตรวจสอบยังไม่พบว่าทางราชการได้รับอาวุธดังกล่าวทั้งหมดคืนจาก นปช.
พบ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ปรากฏตัวอยู่บริเวณเชิงสะพานพระปิ่นเกล้าฝั่งธนบุรี เมื่อเวลาประมาณ 16.40 น. พร้อมกับนายยศวริศ ชูกล่อม ซึ่งเป็นช่วงเกิดเหตุการณ์ที่ผู้ชุมนุมยึดอาวุธเจ้าหน้าที่
3. ความรุนแรงในเหตุการณ์สี่แยกคอกวัว รายงาน คอป.บางตอน ระบุชัดเจนว่า
“...พบการปรากฏตัวของคนชุดดำพร้อมอาวุธสงคราม 5 คน อยู่ในที่ชุมนุม ในจำนวนนี้มีผู้ใกล้ชิดกับ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล (เสธ. แดง) ด้วย
ผู้สื่อข่าวต่างประเทศคนหนึ่งพบเห็นกลุ่มบุคคลดังกล่าวถืออาวุธ ปลย. ชนิด เอเค 47 และชนิดเอ็ม-16 เครื่องยิงลูกระเบิดชนิดเอ็ม-79 และปืนพก ที่บริเวณปากซอยข้างร้านแมคโดนัลด์ที่เชื่อมต่อไปออกถนนตะนาว ตรงด้านหลังอาคารสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (ซอยหลังอาคารกองสลากเก่า) ถนนราชดำเนินกลาง โดยพบ
เมื่อเวลาประมาณ 17.30 น. ก่อนที่ทหารบนถนนตะนาวและบนถนนดินสอจะถูกโจมตีด้วยอาวุธสงครามไม่นาน
นอกจากนี้ ในช่วงเหตุการณ์ปะทะกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนของกองบังคับการตำรวจนครบาล 6 พบคนชุดดำจำนวน 4 คน ถืออาวุธปลย. ชนิดเอเค 47 และ ปลย. ไม่ทราบชนิด เดินออกมาจากถนนตะนาวฝั่งอนุสรณ์สถาน 14 ตุลาฯ เข้าไปในกลุ่มผู้ชุมนุมที่บริเวณสี่แยกคอกวัว และหลังจากเหตุการณ์รุนแรงเจ้าหน้าที่ตำรวจคนดังกล่าวได้ยึดอาวุธเครื่องยิงลูกระเบิดชนิดเอ็ม-79 จากคนชุดดำที่บริเวณสี่แยกคอกวัว
ได้จำนวน 1 กระบอก หลังเกิดเหตุรุนแรงบริเวณถนนตะนาวเวลา 20.37 น. มีนักข่าวชาวต่างประเทศคนหนึ่งพบคนชุดดำถืออาวุธ ปลย. ชนิดเอเค 47 ในบริเวณเดียวกันและได้ถ่ายภาพไว้ด้วย ยังปรากฏภาพถ่ายคนถืออาวุธปลย. ชนิดเอ็ม-16 ยืนอยู่ปะปนกับกลุ่มผู้ชุมนุมในช่วงเกิดเหตุรุนแรง สอดคล้องกับคำบอกเล่าของอาสาสมัครกู้ชีพคนหนึ่งซึ่งอยู่ในเหตุการณ์
นอกจากนี้ เวลาประมาณ 19.00 น. ก่อนที่เจ้าหน้าที่ทหารจะถูกโจมตีด้วยระเบิด มีผู้พบเห็นรถตู้สีขาวขนคนชุดดำสองสามคนพร้อมอาวุธสงครามมาส่งลงบริเวณวงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ด้านร้านหนังสือเมืองโบราณและร้านเมธาวาลัย (ศรแดง) โดยมีการ์ด นปช. คอยห้อมล้อมเดินไปทางร้านแมคโดนัลด์ หัวมุมถนนดินสอติดกับโรงเรียนสตรีวิทยา เข้าไปในกลุ่มผู้ชุมนุม โดยการ์ด นปช. ห้ามมิให้ใครถ่ายรูป และมีผู้ชุมนุมบางคนพูดว่า “ส่งคนมาช่วยแล้ว” แต่ถูกการ์ดนปช. ห้ามไม่ให้พูด
ยังปรากฏภาพรถตู้สีขาวในกล้องวงจรปิดบริเวณวงเวียนสี่กั๊กพระยาศรี 2 ครั้ง ระบุเวลา 20.19 น. และอีกครั้งในเวลา 21.01 น.
และยังปรากฏภาพคนชุดดำถือเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม-79 ยืนอยู่ข้างรถตู้สีขาวจอดอยู่ในบริเวณที่มีผู้ชุมนุมอยู่แต่ไม่สามารถยืนยันแหล่งที่มาของภาพได้
เจ้าหน้าที่ทหารคนหนึ่งให้ข้อมูลว่า หลังเหตุการณ์ความรุนแรง มีรถตู้สีขาวซึ่งมีกลุ่มคนชุดดำ มีอาวุธสงครามโดยสารมาด้วยขับผ่านมาที่บริเวณหน้าวัดตรีทศเทพ คนในรถโผล่หน้าออกมาเยาะเย้ยทหารที่ได้รับบาดเจ็บ โดยเจ้าหน้าที่ทหารคนหนึ่งยืนยันว่าเห็นชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธสองสามคนนั่งอยู่ในรถคันดังกล่าว”
4. ที่หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา
“...เวลาประมาณ 20.30 น. ภายหลังทราบว่าเจ้าหน้าที่ทหารถูกโจมตีด้วยอาวุธสงครามที่บริเวณสี่แยกคอกวัว พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) ซึ่งควบคุมกำลังพลอยู่บนถนนดินสอหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา จึงประชุมผู้บังคับบัญชาที่ด้านหลังรถยนต์สายพานลำเลียงหุ้มเกราะหน้าโรงเรียนสตรีวิทยาเพื่อเตรียมการถอนกำลัง
ระหว่างนั้น พ.อ.ธรรมนูญ วิถี ได้ลุกขึ้นไปกำชับให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ด้านหน้าให้วางกำลังอย่างหนาแน่น เพราะเห็นกลุ่มผู้ชุมนุมด้านหน้าเปลี่ยนเป็นกลุ่มชายฉกรรจ์มาพร้อมกับรถเครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่กลบเสียงสั่งการของทหาร ขณะที่ตนกำลังจะกลับมานั้น ได้เกิดระเบิดขึ้น 1 ลูก บริเวณวงประชุมของผู้บังคับบัญชา และมีอีก 1 ลูกต่อมาในเวลาไล่เลี่ยกัน
จากการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุของอนุกรรมการฯและวิเคราะห์ภาพถ่ายคลิปจากกล้องวงจรปิดโดยผู้เชี่ยวชาญอิสระนิติวิทยาศาสตร์ด้านภาพจากต่างประเทศ ประกอบกับภาพคลิปวีดีโออื่นๆ พบว่า มีผู้ขว้างระเบิดควันไปยังกลุ่มทหารที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว แล้วขว้างระเบิดสังหาร 2 ลูก ใส่กลุ่มนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาที่กำลังประชุมกันอยู่
ระเบิดลูกแรกระเบิดในเวลาประมาณ 20.44.57 น. และลูกที่สองระเบิดตรงจุดใกล้กันในเวลาประมาณ 20.45.31 น. เจ้าหน้าที่ทหารแจ้งว่าก่อนเหตุระเบิด มีแสงเลเซอร์สีเขียวส่องมาที่เป้าหมายก่อน การตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุโดยกองพิสูจน์หลักฐานกลางเชื่อได้ว่าระเบิดทั้งสองลูกนั้นเป็นระเบิดขว้างชนิดเอ็ม-67 นอกจากระเบิดขว้างชนิดเอ็ม-67 ทั้งสองลูกนั้นแล้ว เจ้าหน้าที่ทหารยังยืนยันว่าถูกโจมตีด้วยลูกระเบิดเอ็ม-79 อีกหลายลูก แต่กองพิสูจน์หลักฐานกลางและสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ไม่ยืนยันว่ามีการยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 เข้าไปในถนนดินสอหรือไม่
การโจมตีเจ้าหน้าที่ทหารหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา มีทหารเสียชีวิต 4 คน ผลการชันสูตรศพพบว่าเสียชีวิตจากสะเก็ดระเบิด เมื่อพิจารณาประกอบกับผลการตรวจสถานที่เกิดเหตุของกองพิสูจน์หลักฐานกลางพบว่า 3 คน รวมทั้ง พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม เสียชีวิตจากสะเก็ดระเบิดขว้างชนิด เอ็ม-67 ส่วนอีก 1 คน ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธคนหนึ่งเห็นว่าน่าจะเสียชีวิตจากสะเก็ดระเบิดเอ็ม-79
นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิดจำนวนมาก รวมถึง พล.ต.วลิต โรจนภักดี ได้รับบาดเจ็บขาหักจากสะเก็ดระเบิดเอ็ม-67 ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากกระสุนปืน รวมทั้งไม่ปรากฏหลักฐานว่า พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม มีบาดแผลที่เกิดจากกระสุนปืนแต่อย่างใด”
ทั้งหมดนี้ คือ บันทึกความจริงที่ไม่มีวันลืมเลือน ไม่ควรให้ใครมาทำตีกินแบบเนียนๆ ไม่รู้จักจบสิ้น
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี