ตลอดช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา เมื่อไหร่ที่มีการพูดถึงการคอร์รัปชันก็มักจะมีการโยงไปเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยอัตโนมัติ มีการยกตัวอย่างคดีในอดีตหรือปัจจุบันที่สังคมให้ความสนใจ เพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์บทเรียนสำหรับแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นซึ่งมักจะหนีไม่พ้นการแก้ไขกฎหมาย และจบด้วยคำกล่าวปลุกใจให้คนไทยทุกคนในทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการต่อสู้กับการคอร์รัปชันอย่างจริงจัง เป็นอันจบงานอย่างสวยงามในมุมมองของผู้พูดและผู้จัดงาน
ในมุมมองของผู้ฟัง ตรรกะแนวความคิดที่ควบรวมการคอร์รัปชันเข้ากับการเมืองอย่างกลมเกลียว และการเรียนรู้จากกรณีศึกษาเพื่อออกแบบนโยบายหรือแก้ไขกฎหมายเช่นนี้อาจจะเป็นที่น่าสนใจสำหรับคนจำนวนหนึ่งในสังคม แต่ยังมีอีกหลายคนที่เพียงได้ยินหรืออ่านผ่านไปเห็นคำว่าการเมืองก็รู้สึกเบื่อหน่ายแล้ว ยิ่งเหลือบไปเห็นว่ายกคดีเดิมๆ มาพูดถึงอีกแล้วเลยไม่มีความรู้สึกอยากฟังหรืออ่านต่อในรายละเอียด เราจึงมักได้ยินอยู่บ่อยครั้งว่าคนไทยจำนวนหนึ่งทำใจยอมรับสถานการณ์การทุจริตที่รุนแรงเช่นนี้ไปเลยโดยไม่คิดจะเข้าไปแก้ไขปัญหา ซึ่งน่าเสียดายมากสำหรับโอกาสในการพัฒนาของประเทศไทย
ที่กล่าวมาเช่นนี้ ผมไม่ได้มีเจตนาจะกล่าวโทษกลุ่มคนที่เบื่อหน่ายการเมืองและบทเรียนจากอดีตแต่อย่างใด เพราะแนวทางการวิเคราะห์คอร์รัปชันแบบนี้มีจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้ผู้ฟังผิดหวังได้ง่ายจริงๆนั่นคือ การที่นำคอร์รัปชันไปผูกกับการเมืองเป็นการฉายไฟไปที่นักการเมือง
ให้เป็นตัวร้ายอย่างชัดเจนและการยกตัวอย่างกรณีศึกษานั้นยิ่งทำให้เรื่องคอร์รัปชันเป็นเรื่องง่ายๆ ตรงไปตรงมา แต่พอมาถึงข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหานอกจากจะซับซ้อน เข้าใจยากแล้วยังมักจะต้องใช้เวลานานมากกว่าจะเห็นผล ดังนั้น เมื่อปัญหาชัดแต่วิธีแก้ไม่ชัด จึงไม่แปลกที่ผู้ฟังจะผิดหวัง เบื่อหน่ายและทำใจยอมรับสภาพไปโดยไม่คิดจะไปเปลี่ยนแปลงอะไร
ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านคอร์รัปชัน โดยเฉพาะนักวิชาการจะต้องนำเสนอเรื่องราวของการคอร์รัปชันให้ออกมาจากการผูกมัดอยู่กับการเมืองให้ได้ ให้คนไทยได้เห็นว่าในความจริงแล้วคอร์รัปชันเป็นปรากฏการณ์ที่มีความซับซ้อนเป็นอย่างมากและเกี่ยวข้องกันแทบจะทุกวงการเพื่อให้คนทั่วไปเข้าใจจริงๆ ว่าทุกคนสามารถแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนนี้ได้และจำเป็นจะต้องร่วมมือกันด้วยจึงจะสำเร็จ
เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเสนอนี้ ผมจึงขอยกตัวอย่างแนวทางการวิจัยของศูนย์SIAM Lab (Social Integrity Architecture and Mechanism design Lab)ของคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ที่มีเป้าหมายในการเปิดมุมมองใหม่ๆ ของการคอร์รัปชันและการโกงให้ออกจากกรอบการผูกมัดกับการเมือง โครงสร้างการปกครอง และกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตในปัจจุบัน เลิกยกข้อเสนอที่เน้นการ
แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วมากกว่าการมองไปข้างหน้า
และหันไปสร้างภาพอนาคตของสังคมไทยในเรื่องสำนึกต่อสังคมแทน โดยเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา SIAM Lab ได้นำเสนองานวิจัยส่วนหนึ่งในงานคุยฟาร์มรู้ Knowledge Farm ในหัวข้อ “จากห้องทดลองสู่โลกจริง : เข้าใจคอร์รัปชันในสังคมไทย” ที่จัดโดย 101.world งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่นำเสนอในวันนั้นซึ่งสอดคล้องกันแนวทางการมองสังคมไทยไปในอนาคตคืองานวิจัยเรื่องการใช้ภาษากับการคอร์รัปชัน
งานวิจัยชิ้นนี้มีชื่อเต็มๆว่า มโนอุปลักษณ์ในวาทกรรมข่าวคอร์รัปชันในหนังสือพิมพ์ไทยและอินโดนีเซีย ซึ่งมี
จุดประสงค์เพื่อเสนอแนวทางในการศึกษาการคอร์รัปชันในฐานะปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม และเพื่อเสนอแนวทางเบื้องต้นในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันด้วยการสร้างจิตสำนึกทางสังคม โดยอาศัยองค์ความรู้ทางด้านวาทกรรมวิเคราะห์เชิงปริชาน (Cognitive Discourse Analysis) หรือ อธิบายง่ายๆ คือ ศึกษาว่าในพื้นที่ที่คนมีความเข้าใจและพฤติกรรมต่อการคอร์รัปชันแตกต่างกันนั้น อาจได้รับอิทธิพลหรือแสดงผลของความเข้าใจนั้นผ่านภาษาที่ใช้เปรียบเทียบกับการคอร์รัปชันในสื่อแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร โดยงานชิ้นนี้เป็นการร่วมมือกันระหว่าง ดร.นฤดล จันทร์จารุ นักภาษาศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ กับ ต่อภัสสร์ ในฐานะอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ
งานชิ้นนี้เริ่มต้นจากการศึกษาของ อ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่พบว่าประเทศอินโดนีเซียมีการพัฒนาการทางด้านการต่อต้านคอร์รัปชันที่ชัดเจนและรวดเร็วมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้ระดับการคอร์รัปชันในดัชนีภาพลักษณ์การคอร์รัปชัน (CPI) เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จากไม่กี่ปีก่อนที่อยู่ลำดับต่ำกว่าประเทศไทยเกือบ 5 เท่า จนขึ้นมาเท่าประเทศไทยแล้วในปีที่ผ่านมา เหตุผลประการสำคัญของการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้คือ แรงสนับสนุนจากสื่อและประชาสังคมในการต่อต้านคอร์รัปชัน เหตุการณ์สำคัญที่สะท้อนภาพการสนับสนุนนี้คือ ครั้งหนึ่งที่องค์กร KPK ซึ่งทำหน้าที่คล้ายกับ ป.ป.ช. ของไทย ถูกรัฐบาลตัดงบประมาณ ประชาชนและองค์กรประชาสังคมจำนวนมากได้ออกมาชุมนุมเพื่อระดมทุนไปสนับสนุน KPK ให้สามารถดำเนินงานต่อได้โดยไม่ต้องพึ่งเงินจากรัฐบาลเท่านั้น กลายเป็นการเคลื่อนไหวใหญ่ภายใต้ชื่อ “#savekpk” เลยทีเดียว สภาวการณ์เช่นนี้จึงส่งผลให้ KPK เองต้องทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพื่อตอบสนองต่อความต้องการและความเชื่อมั่นของประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาก็สามารถทำงานได้ดี สามารถเอาผิดนักการเมืองและข้าราชการระดับสูงได้จำนวนมาก จนได้รับรางวัลแมกไซไซในปี 2556 ซึ่งต้องยอมรับว่าสภาวการณ์เช่นนี้เป็นภาพที่ค่อนข้างแตกต่างกับภาพของประเทศไทย
การศึกษานี้จึงนำมาซึ่งความสงสัยว่าปัจจัยใดที่ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ได้ แน่นอนว่าปัจจัยนั้นมีหลายประการ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ซึ่งก็มีงานวิจัยจำนวนมากศึกษาปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ในอินโดนีเซียแล้ว แต่ปัจจัยหนึ่งที่ยังไม่มีการศึกษาคือการใช้ภาษา ซึ่งมีทฤษฎีทางภาษาศาสตร์รองรับอยู่ว่ามีอิทธิพลต่อความคิดและพฤติกรรมของคนอย่างมาก งานวิจัยชิ้นนี้จึงทดลองใช้เครื่องมือทางภาษาศาสตร์ ซึ่งเป็นเครื่องมือใหม่ในการวิเคราะห์ปรากฏการณ์ การตอบสนองต่อคอร์รัปชันที่แตกต่างกันระหว่างอินโดนีเซียและไทย โดยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ดึงคำพูดที่อยู่ในหนังสือพิมพ์ของทั้งสองประเทศมาเปรียบเทียบกันว่า แต่ละประเทศมีการใช้อุปลักษณ์หรือการเปรียบเทียบกับการคอร์รัปชันอย่างไร
ผลที่ออกมาน่าสนใจมาก สำหรับหนังสือพิมพ์อินโดนีเซีย กลุ่มอุปลักษณ์ที่ใช้เปรียบเทียบคอร์รัปชันที่พบมาก ได้แก่ กฎหมาย ระเบียบ การผิดจริยธรรม ความเสียหาย สื่อ หนังสือ อาชญากรรม และการมีส่วนร่วม ซึ่งเป็นคำที่แสดงให้เห็นคอร์รัปชันในภาพใหญ่ เป็นปัญหาเชิงระบบ และมีการพูดถึงการแก้ไขด้วยการมีส่วนร่วม ในขณะที่ในหนังสือพิมพ์ไทย พบคำว่า สงคราม กองทัพ อาวุธ การกิน การบริโภค สีเหลือง สีแดง การขนส่งทางบก ซึ่งเป็นกลุ่มคำที่มีความเฉพาะเจาะจงมาก สื่อให้เห็นความสนใจของประชาชนต่อการคอร์รัปชันเป็นกรณีๆ ไป ซึ่งส่งผลให้คนตื่นเต้น สนใจมากในระยะสั้นๆ เกิดดราม่าขึ้นง่าย แต่ไม่นานก็หายไป เพราะไม่ได้เจาะลงไปที่ระบบ และพูดถึงการสร้างการมีส่วนร่วมน้อยกว่า
จึงเห็นได้ว่างานวิจัยนี้พบความสอดคล้องกันระหว่างสภาวการณ์จริงกับปัจจัยที่แสดงผลนั้นออกมาหรืออิทธิพลที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ในลักษณะนี้ในแต่ละประเทศ แน่นอนว่างานวิจัยนี้มีข้อจำกัดหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนหนังสือพิมพ์ที่ยังไม่ครอบคลุมคนอ่านทั้งประเทศ การจัดกลุ่มภาษาอังกฤษเท่านั้น หรือจำนวนประเทศในการเปรียบเทียบที่น้อย แต่งานวิจัยนี้ก็ได้เปิดกรอบความคิดต่อการคอร์รัปชันที่กว้างออกไปมากกว่าการผูกติดกับการเมืองเท่านั้น ให้เห็นว่าสื่อและประชาชนก็อาจสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อสถานการณ์ทางสังคมได้จริงอย่างง่ายๆ แค่ใช้ภาษาที่เหมาะสมก็มีผลแล้ว ไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงองค์กรขนาดใหญ่ที่มีอำนาจมหาศาลเท่านั้น เพราะสุดท้ายแล้วถ้าคนที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ดีขึ้นได้ ไม่ใช่คนส่วนน้อยที่ถืออำนาจมาก แต่คือคนจำนวนมากที่เป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริง
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี