ณ วันนี้ จีนคอมมิวนิสต์เล็งเห็นว่า สังคมเสรีประชาธิปไตยของการแข่งขันกันระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ เพื่อไปทำหน้าที่ตัวแทนบริหารบ้านเมืองให้กับประชาชน ดูร่อแร่ ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชน หรือสามารถนำพาให้ประเทศเจริญก้าวหน้าต่อไปอย่างมีเสถียรภาพได้
เมื่อจีนผงาดขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ พรรคคอมมิวนิสต์จึงได้โอ้อวดความสำเร็จของตนเองคือ การเป็นประเทศที่มีแค่พรรคเดียวเป็นเผด็จการนำพา ควบคู่กับการเปิดเสรีด้านเศรษฐกิจการค้าในระดับหนึ่ง หรือการผสมผสานระหว่างวิสาหกิจรัฐ กับธุรกิจเอกชน ส่วนสิทธิเสรีภาพทางด้านการเมืองนั้นยังไม่มีและไม่ให้แก่ประชาชน พรรคคอมมิวนิสต์เท่านั้นที่มีสิทธิหน้าที่ทางการเมือง
เมื่อจีนประสบความสำเร็จด้วยรูปแบบการบ้านการเมืองของตนนี้ จึงมีความมั่นใจในตัวเองว่า เป็นทางเลือกที่ดีและเหมาะสมกว่า ระบอบเสรีนิยมของฝ่ายตะวันตก และแถมยังเกทับด้วยว่า รูปแบบการปกครองแบบนี้ จีนค้นคิดขึ้นด้วยตนเอง ไม่ได้ไปก๊อบปี้มาจากฝ่ายตะวันตกดังเยี่ยงรูปแบบเสรีประชาธิปไตยที่ใช้กันทั่วๆ ไป
นั่นก็ส่งผลให้บรรดาผู้นำ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ เกิดเริ่มสนใจ เห็นดีเห็นงาม และอยากจะทำตามกันเป็นทิวแถว เพราะลักษณะเด่นของระบอบการปกครองแบบจีนนี้เอื้ออำนวยให้กลุ่มผู้นำสามารถอยู่ในตำแหน่งได้อย่างต่อเนื่องและยาวนาน ไม่เหมือนระบบเสรีประชาธิปไตยที่ต้องแข่งกันไปกันมา ต้องพลัดกันแพ้กันชนะ หรือแม้จะชนะต่อเนื่อง ก็ยังต้องเผชิญกับพรรคฝ่ายค้านมาตอแยอยู่ดี ดังนั้น เมื่ออ้างเสถียรภาพทางสังคมเป็นประเด็นสำคัญอีกด้วย ก็ยังทำให้ชาวบ้านทั่วๆ ไปเห็นคล้อยตามไปด้วย เพราะอยากอยู่กับความสงบเรียบร้อย และโอกาสการพัฒนาชีวิตอย่างราบรื่น
แต่หากจะตั้งสติ แล้วคิดกันสักหน่อย ถอยหลังมาสักก้าวสองก้าว แล้วตอบคำถามที่ว่า ที่ผ่านมา เสรีประชาธิปไตยในประเทศกำลังพัฒนานั้นบกพร่อง ล้มเหลว ล้มลุกคลุกคลาน เพราะเหตุใด? อยู่ในวิสัยจะแก้ไข ซ่อมแซมได้หรือไม่?
ผมเองคิดว่า หากเราลองมองไปที่ต้นเหตุจริงๆ เราก็ยังสามารถแก้ไข ปรับปรุงได้ และไม่เคยเห็นว่า สังคมเผด็จการ จะเป็นทางเลือกเพื่อให้หลุดพ้นจากปัญหาความยากจน นั่นก็เพราะมนุษย์เราจะแค่ท้องอิ่มแต่อย่างเดียว โดยปล่อยให้สมองตีบ สิทธิเสรีภาพไม่มี คงไม่ได้
เรามิใช่สัตว์อยู่ในกรง ที่จะได้แค่นั่งรอการป้อนอาหารไปวันๆ หากแต่เราเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นสัตว์ประเสริฐ สามารถคิดได้ แก้ปัญหาเป็น ไฉนจะต้องมาถูกจองจำทางความคิดเล่า แล้วบรรดาผู้นำเผด็จการเป็นผู้วิเศษมาจากไหน จึงจะมาชี้นิ้วสั่งให้ทำโน่นนี่ แล้วยังใช้ระบบความกลัวปกครองอีกด้วย จึงไม่เป็นการสมควรที่คนทั้งประเทศจะต้องยอมให้คนกลุ่มน้อยกลุ่มเดียวมาทำตนเป็นเจ้ามหาชีวิตของคนทั้งประเทศ โดยไม่ได้มีความถูกต้องชอบธรรมใดๆ ทั้งสิ้นมารองรับ
แล้วเราจะทำกันอย่างไรในการซ่อมแซมสังคมเสรีประชาธิปไตยกันอย่างไร?
ถ้าจะแก้กันที่ต้นเหตุ ทุกหมู่เหล่าก็ต้องช่วยกันคนละไม้ละมือโดยพร้อมเพรียงกัน ดังนี้
-พรรคการเมืองทุกพรรค ต้องปฏิรูปตนเองให้มีการบริหารจัดการภายในองค์กรแบบเสรีประชาธิปไตย และสมาชิกเป็นเจ้าของ ประชาชนสนับสนุน และสามารถตรวจสอบได้จริง
-ฝ่ายกองทัพต้องเลิกคิดว่า ตนเองเป็นตัวแก้ปัญหาการบ้านการเมือง โดยรอเข้าแทรกแซงยึดอำนาจ และต่อมาก็ทำตนเป็นนักการเมืองเสียเอง หากแต่ควรดำรงบทบาทเป็นผู้อำนวย หรือประคับประคองการบ้านการเมืองบนความถูกต้องชอบธรรม โดยสามารถดูบทบาทของกองทัพซิมบับเวในการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองครั้งที่ผ่านมาได้
-ฝ่ายข้าราชการพลเรือน รวมทั้งตำรวจ จะต้องมีความรู้ ความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยและต้องมีทัศนคติและหลักประกันว่า เป็นผู้ให้บริการตอบสนองและรับใช้ประชาชนมากกว่าผู้คุม ผู้ปกครองจองจำ และทุกคนต้องมีจิตสำนึกว่า เป็นพลเมืองประชาธิปไตยด้วยทุกคน
-หน่วยงานรัฐทั้งหมดต้องเปิดเผยข้อมูลอย่างกว้างขวาง ทั้งในเรื่องการให้บริการ ออกใบอนุญาต และการใช้จ่าย
-ฝ่ายเอกชนต้องไม่ฮั้ว ไม่หลีกเลี่ยงภาษี และมีธรรมาภิบาล ในการบริหารจัดการ
-ฝ่ายสื่อทั้งภาครัฐ และเอกชน ต้องให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง เปิดเวทีการอภิปรายถกเถียง ทั้งฝ่ายเสนอและฝ่ายคัดค้าน เพื่อให้ประชาชนได้รู้ และได้ตัดสินใจ
-ฝ่ายศาสนาต่างๆ ต้องเน้นการอยู่ร่วมกันท่ามกลางความแตกต่างหลากหลาย และทุกศาสนาเน้นการทำความดี และการไม่เบียดเบียนกัน และการไม่ใช้ความรุนแรงใดๆ ทั้งสิ้น
-ในขณะเดียวกัน สังคมไทยต้องมีการกระจายอำนาจ และความรับผิดชอบไม่น้อยไปกว่าประเทศเสรีประชาธิปไตยอื่นใด การกระจายอำนาจต่างๆ เป็นการเพิ่มขยายการมีส่วนร่วม ลดประชาธิปไตยแบบตัวแทนด้วยการเพิ่มประชาธิปไตยทางตรง อาทิ เรื่องสำคัญๆ ของส่วนรวมก็ควรมีการลงประชามติให้มากที่สุด โดยสามารถดูตัวอย่างของสวิตเซอร์แลนด์ และเมื่อผลออกมาเป็นอย่างไร ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายรัฐสภาค่อยรับไปดำเนินการออกกฎหมาย หรืออนุมัติงบประมาณ
-ต้องมีความโปร่งใสของข้อมูลภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนโยบาย การวางแผนโครงการ หรือแม้แต่ข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้าง เมื่อผู้คนได้รู้ ได้เข้าถึงซึ่งข้อมูล สามารถตรวจสอบได้จริง ความโปร่งใสก็เกิดขึ้น และการมีส่วนร่วมกระชับขึ้น การตรวจสอบและหาผู้รับผิดชอบได้ โอกาสของการใช้อำนาจโดยมิชอบก็เกิดขึ้นได้ยาก ประชาธิปไตยก็จะมั่นคงยิ่งขึ้น เพราะประชาชนเป็นใหญ่จริง
สำหรับประเทศไทยในระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา แทบไม่มีการปฏิบัติใดๆ ดังที่ได้กล่าวมา ช่วงรัฐบาลปฏิรูป คสช. นี้จึงไม่มีอะไรที่เรียกว่า การซ่อมแซมประชาธิปไตย มีแต่การทำโทษประชาธิปไตยยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อไม่คิดจะซ่อมแซมก็ต้องเปิดทางให้ผู้อื่นมาทำแทน มิฉะนั้น ความขัดแย้งในสังคมไทยก็จะทวีคูณขึ้นอีก
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี