การปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน หลักการนี้ ได้ประกาศโดยประธานาธิบดีลินคอล์น แห่งสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้นักรัฐศาสตร์ชาวอเมริกันชื่อ ชอล พาโดเวอร์ (Sual Padover) ได้วางหลักเกณฑ์การปกครองระบอบประชาธิปไตยไว้ 5 ประการ คือ
1.ความเสมอภาคทางกฎหมาย
2.ความเสมอภาคในการออกเสียงเลือกตั้ง
3.ต้องมีการเลือกตั้งเป็นครั้งคราว เพื่อขจัดการผูกขาดทางการเมือง
4.การออกกฎหมายต้องใช้มติของเสียงส่วนมาก และ
5.เสรีภาพในการประกอบกิจกรรมทางการเมืองและเสรีภาพในการมีนโยบายทางการเมือง
นอกจากนี้ หลักประชาธิปไตยที่สำคัญสำหรับพลเมืองต่อพลเมือง คือ
1.ต้องเคารพในสิทธิของกันและกัน
2.ต้องตกลงกันด้วยสันติวิธี
3.ต้องมีความยุติธรรมในสังคม และ
4.รัฐบาลที่ดีที่สุด คือ รัฐบาลที่ปกครองน้อยที่สุด
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นการลอกมาจากความคิดของนักรัฐศาสตร์เจ้าของทฤษฎีประชาธิปไตย บางคนที่ได้รับการยอมรับในสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริง
สำหรับประเทศไทยนั้นเป็นที่ยอมรับกันว่านับตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา เกิด “คณะราษฎร” นำโดย พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนากับคณะทำการปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยอ้างว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย แต่ในความเป็นจริงแล้วการปฏิวัติครั้งนั้นนอกจากการล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แล้ว แต่มิได้นำการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงมาใช้ในประเทศไทย เพราะกล่าวได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงองค์อธิปัตย์จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบอำมาตยาธิปไตยมากกว่า เพราะองค์อธิปัตย์ใหม่ซึ่งประกอบด้วยทหารและพลเรือนก็มีพฤติกรรมที่สร้างระบบชนชั้นขึ้นใหม่ จะสังเกตได้จากเกิดชนชั้นปกครอง คือ นักการเมืองผู้มีอำนาจผลัดกันปกครองประเทศกับผู้นำเผด็จการทหาร รูปแบบการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตยแต่ในนามเท่านั้น
เพราะไม่ว่าทหารหรือพลเรือนเมื่อมีอำนาจในการบริหารประเทศก็จะกลายเป็นอีกชนชั้นหนึ่งของสังคม นักการเมืองบางคนก่อนที่จะได้รับเลือกตั้ง (ไม่ว่าเกิดจากการซื้อขายเสียงหรือไม่ก็ตาม) ก็จะกลายเป็นอีกชนชั้นหนึ่ง ยิ่งถ้ามีตำแหน่งทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี เลขานุการรัฐมนตรี ที่ปรึกษา เกือบทุกคนพฤติกรรมเปลี่ยนไปการเป็นเจ้าขุนมูลนายขึ้นมาทันที รวมทั้งข้าราชการประจำก็เช่นกัน ส่วนใหญ่พฤติกรรมเปลี่ยนไปเมื่อมีตำแหน่งหน้าที่สูงขึ้น หรือแม้แต่ผู้มีความมั่นคงในทางการเงิน (ได้แก่ นายทุนใหญ่น้อย) ก็มี พฤติกรรมก็เปลี่ยนไปตามฐานะกลายเป็นอีกชนชั้นหนึ่ง
สรุปรวมความว่า สังคมไทยไม่เคยเป็นสังคมประชาธิปไตยในความหมายที่แท้จริง จริงอยู่ปัญญาชนชาวไทยเรียกร้องให้สังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตยแต่ก็เปรียบเสมือนพายเรือในอ่างเพราะประชาชนทุกกลุ่มไม่เคยมีพฤติกรรมเฉกเช่นสังคมประชาธิปไตยอื่นๆเพราะผู้เรียกร้องประชาธิปไตยส่วนใหญ่ เมื่อมีอำนาจก็ลืมกำพืดเดิมกลายเป็นอภิชนาธิปไตย จึงเป็นการยากที่จะทำให้สังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตยตามแบบประชาธิปไตยตะวันตกที่ปัญญาชนใฝ่ฝันที่จะให้เกิดขึ้นตลอดระยะเวลากว่า 83 ปีที่ผ่านมา เพราะพฤติกรรมของคนไม่เคยเปลี่ยน ในทางปฏิบัติเมื่อตนมีอำนาจและโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงได้ แต่ก็ยึดติดกับอำนาจนิยมเสียแล้ว ผลจึงเกิดขึ้นกับการเมืองขอประเทศตลอดเวลานับตั้งแต่ พ.ศ. 2475 มาจนถึงทุกวันนี้ และอาจเป็นต่อไปอีกจนกว่าคนในสังคมเข้าใจและเข้าถึง และต้องการให้ประเทศเป็นสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี