โครงการคลองไทย อาจเป็นเงื่อนไขให้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องประสบปัญหาจัดการบริหาร เหมือนบ้านพักตุลาการ ที่ จ.เชียงใหม่ เพราะอภิมหาโครงการคลองไทย ริเริ่มในสมัยที่รัฐบาลที่มีนโยบายให้กระทรวง ทบวง กรม สว. สส. เสนอโครงการ มูลค่ารวมงบประมาณแต่ละโครงการ ต้องจัดสรรให้พรรคสิบเปอร์เซ็นต์
ตัวอย่างเช่น โครงการสำนักงานและบ้านพรรคตุลาการ ริเริ่มในรัฐบาลไทยรักไทยในปี 2544 พลเอกชัยสิทธิ ชินวัตร ผู้บัญชาการทหารบกในเวลานั้นอนุญาตให้ใช้พื้นที่ ปี 2547 รัฐบาลอนุมัติโครงการในปี 2549 แต่โครงการนี้ถูกเก็บใส่ลิ้นชักหลังจากนายทักษิณ ชินวัตร ถูกยึดอำนาจ ในยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้อนุมัติงบประมาณผูกพันก่อสร้างโครงการในปี 2546 หลังจากได้รับงบประมาณผูกพัน บริษัทได้ทำการก่อสร้างจนใกล้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ จึงเกิดกลุ่มคนรักผืนป่าออกมาเคลื่อนไหวประท้วง กดดันให้รื้อทิ้งสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด
น่าสังเกตที่ผู้ริเริ่มโครงการเป็นนักการเมืองจากเมืองเชียงใหม่ ผู้อนุญาตให้ใช้พื้นที่ก็เป็นคนพื้นเพนั้น ผู้อนุมัติงบประมาณผูกพันก็เป็นคนเชียงใหม่ บริษัทก่อสร้างเป็นของเครือข่ายการเมือง ที่ชาวเชียงใหม่สนับสนุนตลอดมา แต่ทำไมเพิ่งประท้วง เมื่อโครงการใกล้เสร็จสมบูรณ์ หรือว่าที่คัดค้านตอนนี้ เพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นผู้รับเหมาก่อสร้าง ต้องได้รับค่าจ้างเต็มจำนวน และถ้าเป็นเช่นนี้ อำนาจเก่าในพื้นที่ ก็มีแต่ได้กับได้ คือได้ค่ารับเหมาก่อสร้างเต็มจำนวนตามสัญญา กับได้ใจคนเชียงใหม่และคนไทยทั่วไป ที่ทวงผืนป่าซึ่งพรรคพวกตัวเองริเริ่มทำลาย คืนมาได้ พูดอย่างนี้ไม่ใช่ไม่รักธรรมชาติ ไม่รักผืนป่า แต่พูดเพื่อให้ผู้ที่ชอบ ดราม่า ได้เห็นภาพรวมทั้งเบื้องหลังเบื้องหน้า
ก่อนที่จะว่ากันเรื่อง “โครงการคลองไทย บนเงื่อนไขผูกมัดกับอัฐจีน” คอลัมน์นี้พูดว่า “โครงการคลองไทย มองจากมุมไหนก็โคลง” “โคลง” ภาษาใต้มีความหมายว่า เหลาะแหละ เหลวไหล ไม่เป็นโล้เป็นพาย ปัจจุบันนี้เราได้เห็นการเคลื่อนไหว การเสวนา พูดจากันเรื่องคลองไทยในหลายเวที ซึ่งมีนักวิชาการ นายทหารนอกราชการ ข้าราชการเกษียณ ฯลฯ ดาหน้ากันออกมาพูดถึงความดีอันพิสดารของโครงการคลองไทย ต้นเดือนเม.ย. ได้มีโอกาสลงพื้นที่ จ.ตรัง สองสัปดาห์ ได้พบปะชาวบ้าน พบกับทีมงานโครงการคลองไทยเพื่อให้แน่ใจว่าคลองไทยเป็น “โคลง หรือ คลอง”
เหตุผลสองประการที่ลงพื้นที่ จ.ตรัง เพราะ 1 เป็นบ้านเกิด 2 ถ้าคลองไทยเป็นจริง ชาวตรัง จะมีผลกระทบจากโครงการนี้มากที่สุด ในบรรดา4 จังหวัด ได้แก่ตรัง กระบี่ นครศรีธรรมราช และสงขลา เพราะเหตุว่าเส้นทางยาว 135 กม. ที่ได้ขีดไว้นั้น มันผ่านกลางเมือง กลางเรือกสวนไร่นาถึง 4 อำเภอ คือ สิเกา วังวิเศษ ห้วยยอด และ รัษฎา ผ่ากลาง 14 ตำบล 132 หมู่บ้าน ความยาว 75 กม. คลองที่ว่ากว้าง 4-500 เมตร ลึกประมาณ 4-50 เมตร ถ้าเป็นจริงจะสร้างผลกระทบให้ชาวตรัง ถึง 74,000 คน เกือบครึ่งหนึ่งของคน 4 จังหวัดที่อาจได้รับผลกระทบจากคลองไทย จ.กระบี่ นครศรีฯ และ สงขลา ได้รับผลกระทบน้อยกว่า เพราะแนวคลองค่อนไปทางชายขอบจังหวัด
นายระพี อินทร์วิเศษ เลขาสมาคมคลองไทย จ.ตรัง เล่าให้ฟังว่าโครงการคลองไทย เริ่มต้นจากข้อเสนอของบริษัทใหญ่ในประเทศจีน (ไม่รู้ชื่อและมณฑลที่ตั้งบริษัท) ที่ได้ร่วมทำการศึกษาโครงการคลองไทยกับวุฒิสภาไทย โดยการนำของนายคำนวณ ชโลปถัมภ์ เมื่อปี 2544 สว.ยุคนั้น มีมติเป็นเอกฉันท์รับศึกษาโครงการ และในปี 2547 รัฐบาลรับโครงการพิจารณาศึกษาในปี 2549
โครงการคลองไทย หยุดชะงักหลังรัฐบาลนายทักษิณ ถูกยึดอำนาจ ที่ตามมาด้วยความวุ่นวายหลายปี จนกระทั่งปี 2546 ในรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บริษัทจากประเทศจีน ได้รื้อฟื้นโครงการขึ้นมาศึกษาใหม่และเรื่องก็เงียบไปอีกหลังจากถูกยึดอำนาจในปี 2557 แต่โครงการแมวเก้าชีวิตก็ฟื้นชีพขึ้นมาใหม่ พร้อมกับความเคลื่อนไหวหลังจากนายธานินทร์ กรัยวิเชียน เขียน จม. ถึงนายกรัฐมนตรี ขอให้หยิบยกข้อเสนอโครงการคลองไทยขึ้นมาพิจารณา อย่างไรก็ตามเลขาสมาคมคลองไทย ไม่สามารถตอบได้ว่าใครเป็นผู้ลอบบี้ให้นายธานินทร์ เขียน จม.ถึงนายกฯ
ตั้งแต่นายธานินทร์ เขียน จม.ถึงนายกฯ การเคลื่อนไหวของบริษัทจีน ที่ประสานงานกับคนไทยก็เข้มข้นขึ้นตามลำดับ บุคคลที่มีชื่อเสียง สถานที่สำคัญๆ ถูกนำมาใช้เป็นที่ประชุมสัมมนาเพื่อสร้างราคาโครงการ อาทิ มูลนิธิรัฐบุรุษ อดีตเลขาฯพลเอกเปรม ได้รับเชิญมาเป็นประธานมูลนิธิคลองไทย นายทหารนอกราชการ ข้าราชการเกษียณ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายกองค์การบริหารส่วนตำบลฯลฯ ถูกดึงเข้ามาเป็นกรรมการ เป็นทีมงาน บุคคลสำคัญทางการเมือง ได้รับการเชื้อเชิญไปทัศนะศึกษาในประเทศจีนเป็นว่าเล่น
ผู้ที่อ้างว่าเป็นตัวแทนจากบริษัทจีน เป็นวิศวกรบ้าง เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงบ้าง เดินสายพบปะผู้นำชุมชนที่จัดตั้งเอาไว้ในจังหวัดต่างๆ การพบปะแต่ละครั้งอ้างว่าจัดสัมมนาบ้าง ฟังความคิดเห็นจากประชาชนบ้าง แต่งานหลักคือลอบบี้ ผู้เข้าร่วมเสวนา ด้วยการเลี้ยงดูปูเสื่อทีมงาน ผู้นำชุนชน นายก อ.บ.ต. ท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า การพบปะแต่ละครั้งนอกจากได้รับการเลี้ยงดูปูเสื่อแล้ว ยังได้รับ pocket money คนละ 1,500 บาท แต่จากการสุ่มพูดคุยกับชาวบ้านใน 4 ตำบล พบ ว่ายังไม่มีใครเคยได้เข้าร่วมฟังเสวนา หรือร่วมทำประชาพิจารณ์จากทีมงานคลองไทยเลย
ข่าวสารที่ชาวบ้านรับรู้ คือฟังจาก “เขาเล่าว่า” หรือพูดต่อๆ กันมา ปะติดปะต่อเรื่องราวจาก ที่กรรมการคลองไทยจัดเสวนาในมหาวิทยาลัยต่างๆ ชาวบ้านจินตนาการกันไปต่างๆ นานา บ้างคาดหวังว่าถ้าคลองเกิดขึ้นจริง ชาวบ้านเหมือนถูกหวยร่ำรวยง่ายๆ จากการขายที่ดิน เวนคืนที่ดิน บางรายฝันว่าราคาที่ดินสูงขึ้นจากไร่ละ 3-4 แสนบาท เป็น 3-4 ล้านบาท แต่กำนัน ตำบลเขากอบ ที่รับข้อมูลแตกต่างออกไปกล่าวว่า “ตอนที่ผมไปสัมมนา มีคนพูดว่าเจ้าของที่ดินที่ไม่ต้องเวนคืน ให้ใช้ที่ดินเป็นหุ้นส่วนของบริษัท” ดังนั้น เมื่อพูดถึงคลองไทย ชาวบ้านทั่วไปเหมือนตาบอดคลำช้าง
สอบถามจากเลขาสมาคมคลองไทย ได้ข้อมูลคลุมเครือว่า ค่าเวนคืนที่ดินรวมอยู่ในงบประมาณ 2 ล้านล้านบาท ตามแผนงานขุดคลองไทย เขากล่าวด้วยว่าบริษัทจีน ได้ทำการศึกษาแผนงานและความเป็นไปได้มาสองปีแล้ว “บริษัทจีนบอกว่าถ้าได้งานสามารถขุดคลองไทยเสร็จใน 5 ปี... ส่วนค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เคลื่อนไหวในโครงการคลองไทยได้มาจากบริษัทจีน ทั้งเรื่องจัดสัมมนา จัดเลี้ยง ซื้อของขวัญให้ผู้ใหญ่ ตลอดถึงไปศึกษาดูงานต่างประเทศบริษัทจีนออกให้หมด”
เมื่อถามว่า ลงพื้นที่สำรวจเส้นทางไปถึงไหนแล้ว ประชาชนรับรู้มากน้อยแค่ไหน? ได้รับคำตอบว่าประชาชนในพื้นที่รับรู้แล้วประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ ในจำนวน 70,000 กว่าคน ที่คาดว่าได้รับผลกระทบ การสำรวจภาคพื้นดินยังไม่ได้ทำ แต่ได้สำรวจทางเครื่องบินแล้ว....กรรมการคลองไทยได้รวบรวมความเห็นประชาชน และส่งไปให้รัฐบาลพิจารณาศึกษา เราต้องการให้รัฐบาลตอบข้อกังวลของประชาชนให้ได้ ว่าทำไมคลองไทยเกิดไม่ได้” นายระพีกล่าว
การศึกษาสำรวจเส้นทางภาคพื้นดินยังไม่ได้ทำ ประชาชนในพื้นที่รับรู้เรื่องคลองไทยเพียงสองเปอร์เซ็นต์ การศึกษาความเป็นไปได้ ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ความมั่นคง ฯลฯ ยังไม่ทำ ในขณะที่แผนงานทุกอย่างยังอยู่ในอากาศ บริษัทจากจีนได้ทุ่มทุนมหาศาลในการวิ่งเต้นให้รัฐบาลไทยรับเรื่องไปพิจารณาดำเนินการ บริษัทจีนได้ทุ่มทุนมหาศาลล็อบบี้บุคคลสำคัญให้เป็นนายหน้า ด้วยความหวังว่าจะเป็นแรงกดดันให้รัฐบาลรับเรื่อง ที่นักลงทุนจากจีน สมคบการเมืองทุนสามานย์ริเริ่มโครงการไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อน
ดังนั้นก่อนที่รัฐบาลจะรับคลองไทยไว้พิจารณาศึกษา ให้หลับตานึกถึงโครงการรับจำนำข้าว ที่อ้างบริษัทจากจีนค้าขายแบบ จีทูจี สุดท้ายเป็นการปล้นชาติครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ถ้ายังไม่เข้าใจก็ให้ระลึกถึงทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 ลองนึกว่าถ้าเปลี่ยน ไร่นา สวนปาล์ม สวนยางพารา ฯลฯ หลายแสนไร่ ให้เป็นคลองน้ำเค็มที่เรือข้ามสมุทรล่องได้ ภายใต้การกำกับของต่างชาติที่จะเข้ามาเป็นเจ้าของสัมปทาน ถึงวันนั้นคนไทยได้อะไร ถ้าได้ค้าขายค้าอะไรตรงไหน ได้ถ้าทำงานทำอะไร ในเมื่อโครงการเริ่มจากนายทุนจีน จีนวางแผนรับเหมาก่อสร้าง จีนต้องได้สัมปทานนานหลายสิบปี อาจถึงร้อยปี แล้วประเทศไทยได้อะไรถ้าทำตามวิสัยทัศน์และข้อผูกมัดกับอัฐจีน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี