ในอดีตที่ผ่านมา หรืออย่างน้อยครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา จากแผนพัฒนาการศึกษาฉบับแรก (พ.ศ. 2503-2504) จนกระทั่งถึงปัจจุบัน พ.ศ. 2561 จุดมุ่งหมายสำคัญของการพัฒนาการศึกษาก็คือ การสร้างกำลังคนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ (และสังคม) และเพื่อโอกาสที่เท่าเทียมกันของประชาชนพลเมืองทั่วราชอาณาจักร แต่สิ่งที่ขาดหายไป หรือขาดจุดเน้นก็คือ การสร้างผู้นำทางการเมือง และการปกครอง (บริหาร) ประเทศ ในกลุ่มนี้ ข้าราชการระดับสูงและระดับกลาง ก็คือฟันเฟืองสำคัญที่จะหมุนกงล้อของการบริหารเพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชน ตลอดจนผดุงไว้ซึ่งความเป็นธรรมในสังคม
สังคมส่วนใหญ่ไม่สนใจจะสร้างคุณธรรมให้แก่คนกลุ่มนี้ แต่สนใจที่จะตำหนิติเตียน และวิพากษ์วิจารณ์ ส่วนการปฏิรูปการศึกษาและอื่นๆ ก็ไม่สนใจจะสร้างผู้นำทางด้านการเมือง สังคมและการบริหารประเทศ เมื่อเกิดพรรคการเมือง สังคมไทย หรือสถาบันทางสังคม-การศึกษา ก็ไม่เคยให้ความเอาใจใส่ต่อกลุ่มบุคคล ผู้ที่จะเป็นผู้นำของพรรค ถือว่าเป็นเรื่องของพรรค ส่วนสถาบันทางการศึกษา โดยเฉพาะระดับมหาวิทยาลัย และสถาบันทางศาสนา ซึ่งเป็นองค์กรที่ควรเฝ้าระวังมาตรฐานทางจริยธรรมของสังคม ก็ไม่เคยใส่ใจในการเคลื่อนไหวเหล่านี้
เมื่อไม่สนใจจะคัดเลือกคนเก่ง-คนที่มีคุณธรรม เพื่อเป็นผู้นำของประเทศ จะมาตีโพยตีพาย เมื่อวัวหายจึงมาล้อมคอก ได้อย่างไร
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระบรมราโชวาทไว้ว่า ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด... จึง...อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง...
หากจะดำเนินตามรอยเบื้องพระยุคลบาท ในการปฏิรูปการศึกษา เราจึงควรคัดเลือกคนเก่ง คนดี ให้ได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาการที่จะส่งเสริมให้เขาได้เป็นผู้มีจริยธรรม มีสติปัญญาที่เข้าใจระบบการบริหารปกครอง และระบบการเมืองที่เหมาะสมกับสังคมไทย และมีความเสียสละเพื่อประเทศชาติ (ไม่มุ่งหวังทางด้านโภคทรัพย์)
จะปฏิรูปการศึกษาอย่างไรเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ ขอให้ผู้อ่านลองคิดล่วงหน้าไว้ก่อน แต่เพื่อประกอบการพิจารณาลองพิจารณากรณีของอังกฤษและฝรั่งเศส ดูบ้าง
อังกฤษได้ชื่อว่า เป็นจักรวรรดิ (ในอดีต) ที่พระอาทิตย์ไม่อัสดง เพราะมีอาณานิคมรอบโลก (ก่อนจะแตกสลายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2) ในสมัยที่ต้องต่อกรกับพระเจ้านโปเลียน ต้นศตวรรษที่ 19 อังกฤษร่วมกับปรัสเซียสามารถพิชิตกองทัพอันเกรียงไกรของพระเจ้านโปเลียน ณ สมรภูมิ วอเตอร์ลู ค.ศ.1815 ท่านดยุคแห่งเวลลิงตัน นายพลอังกฤษผู้พิชิต จึงกล่าวคำคม เพื่อสรรเสริญระบบการศึกษาของผู้ดีอังกฤษสมัยนั้นไว้ ใจความว่า “ชัยชนะที่สมรภูมิวอเตอร์ลู นั้น อันที่จริงเกิดจากการฝึกฝนบนสนามฟุตบอลของอีตันและแฮโรว์”
ท่านดยุคแห่งเวลลิงตัน อาจต้องการสื่อความหมายว่า อีตันและแฮโรว์ คือโรงเรียนพับลิคสกูล ที่สร้างผู้นำให้แก่สังคมอังกฤษ โดยมีมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด และเคมบริดจ์ รับช่วง
ต่อไป ในกระบวนการนี้ โรงเรียนพับลิคสกูลของอังกฤษสมัยก่อนเน้นระเบียบวินัยคล้ายๆ ทหาร แต่ในการเรียนวิชาการจะเปิดกว้าง ที่เรียก “Liberal Education” ทั้งวรรณคดี ประวัติศาสตร์ คณิตศาสตร์ เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการศึกษาในมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะอ๊อกซ์ฟอร์ด และเคมบริดจ์ ซึ่งต่อมาในกลางศตวรรษที่ 19 เมื่อเกิดการปฏิรูประบบราชการในอังกฤษ ได้กลายเป็นสถาบันการศึกษาที่คัดกรองผู้ที่จะเข้ารับราชการในกระทรวง ทบวง กรม ของราชอาณาจักร
ในขณะที่อังกฤษ มีโรงเรียนพับลิคสกูล เช่น อีตัน และแฮโรว์ และหลักสูตรคลาสสิคทางภาษา วรรณคดี ประวัติศาสตร์ ปรัชญา ในมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด - เคมบริดจ์ เป็นตะแกรงร่อนผู้นำทั้งการเมืองและข้าราชการ ฝรั่งเศสก็มี กรัง เอกอลส์(Grandes Ecoles) - สถาบันการศึกษาระดับสูง ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่สมัยนโปเลียน ที่จัดตั้ง Ecole Polytechnique(เอกอล โปลิเทคนิค) สำหรับผลิตวิศวกร จนกระทั่งปัจจุบันได้มีกรังเอกอล อีกหลายแห่ง เพื่อผลิตผู้บริหารระดับสูงให้แก่ราชการและภาคเอกชน กรังเอกอลเหล่านี้ มีมาตรฐานสูงทางวิชาการ ผู้จบมัธยมศึกษาตอนปลายทุกคนอาจสามารถเข้ามหาวิทยาลัยได้ในฝรั่งเศส แต่จะเข้าเรียนในสถาบัน กรัง เอกอล เหล่านี้ จะต้องเป็นผู้มีมันสมองชั้นเลิศ โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งปัญญาชนชาวฝรั่งเศสให้ความสำคัญอันดับหนึ่ง ฉะนั้นจึงมีการสอบคัดเลือกเข้ากรัง เอกอล ทั้งหลาย ตั้งแต่ Ecole Polytechnique ถึง Ecole Normale Superieure (เอกอล นอร์มาลซูเปอริเออร์)ที่ผลิตนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย และนักวิจัย
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝรั่งเศสยังได้จัดตั้งสถาบันการศึกษาทางรัฐศาสตร์ (Institut d’ Etude de Sciences Politiques) เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ ผู้จบสถาบันแห่งนี้สามารถสอบเข้าเรียนต่อที่ “ENA” (เอนา) ย่อจาก “Ecole National d’Administration” หลักสูตร 2 ปี ผู้เข้าเรียนจะได้ฐานะเป็นข้าราชการมีเงินเดือน และเมื่อจบ หากอยู่ในอันดับ 1-15 ในชั้นเรียน สามารถเลือกที่จะไปสังกัดหน่วยงานใดใน “กรังกอร์ของรัฐ” (ข้าราชการระดับสูงของรัฐ) เช่น ผู้ตรวจการคลัง, สภาแห่งรัฐ, ศาลสถิตยุติธรรม, กระทรวงการต่างประเทศ เป็นต้น
โดยสรุป ทั้งสอง “มหาอำนาจ” ในซีกโลกตะวันตกอาจมีปรัชญากำกับวิถีชีวิตแตกต่างกัน อังกฤษอาจค่อนข้างเอนเอียงไปทางปฏิบัตินิยม ยึดประสบการณ์เป็นตัวแปรสำคัญในการตัดสินใจ ประวัติศาสตร์และวรรณคดี จึงมีความสำคัญในการเรียนรู้ ขณะที่ฝรั่งเศส ศรัทธาในหลักคิดแบบนิรนัย (deductive) บูชาตรรกะทางคณิตศาสตร์ มีเดส การ์ต(Descarte) เป็นปรัชญาต้นแบบในสายนี้ จึงเรียกสาวกว่า “Cartesian” (คาร์ติเชียน) วิชาวิศวกรรมจึงเป็นวิชาที่ชาวฝรั่งเศสให้ความสำคัญอันดับสูง ระบบข้าราชการฝรั่งเศสจึงมีระเบียบแบบแผน และมีเสถียรภาพมั่นคง ในขณะที่การเมืองอาจผันแปรได้รวดเร็วในยุคสมัยก่อน ค.ศ. 1958
การสร้างผู้นำในสังคมไทย ควรเรียนรู้จากประสบการณ์จากหลายๆ ประเทศ นอกจากอังกฤษและฝรั่งเศส และเนื่องจากการเมืองของไทยอ่อนแอ เราก็ควรมีระบบราชการที่มีประสิทธิภาพ และแข็งแกร่ง ตลอดจน มีครูอาจารย์ที่มีความรู้ที่ถูกต้องในการที่จะอบรมสั่งสอนนักเรียน นักศึกษาในอนาคต รัฐบาลจึงควรให้ความเอาใจใส่ต่อการสร้างคณาจารย์ในระดับมหาวิทยาลัย และโรงเรียนมัธยมศึกษา ให้มีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับระบบการเมือง และการบริหารประเทศ จะปฏิรูปการศึกษาเพื่อสร้างสังคมใหม่อย่างไร คงจะต้องขอวิเคราะห์รายละเอียดในโอกาสต่อไป
ดร.วิชัย ตันศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี