ก่อนอื่นขอสวัสดีปีใหม่ไทย สุขสันต์สงกรานต์กันถ้วนหน้ากับคุณผู้อ่านแนวหน้าทุกท่านนะครับรวมไปถึง ขอให้ทุกท่านมีความสุขในวันผู้สูงอายุ และวันครอบครัว ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพปลอดภัย มีความรัก ความเข้าใจ ความหนักแน่นในสถาบันครอบครัวอันเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาสังคมไทยของเราไปด้วยกันครับ
เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ พรรคที่เก่าแก่อันดับหนึ่งของประเทศไทย สถาบันการเมืองอันเป็นที่พึ่งแก่ประชาชนคนไทยมาหลายยุคหลายสมัย ผ่านร้อนผ่านหนาว ฟันฝ่าวิกฤติมามากมาย ปีนี้เดินทางมาถึงปีที่ 72 แล้ว และในเจ็ดทศวรรษนี้หากจะให้ย้อนเรื่องราวที่ต้องมุ่งมั่นฟันฝ่ามานั้นคงจะเล่าได้จนเขียนหนังสือได้เป็นเล่มๆ
โดยสังเขปไม่ว่าจะเป็นการร่วมต่อต้านกับความท้าทายของประเทศไทยครั้งสมัยที่มีภัยคุกคามคอมมิวนิสต์ ไปจนถึงครั้งเมื่อสงครามโลกก็มีส่วนในขบวนการเสรีไทย หรือไม่ว่าจะเป็นช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่ต้องเข้ามาคลี่คลายวิกฤติหลังจากที่รัฐบาลก่อนหน้าได้ไปเซ็นสัญญา Letter of Intent กับ IMF เอาไว้ และยังมีเรื่องการต่อสู้กับรัฐบาลที่ขึ้นชื่อว่าเป็น “เผด็จการรัฐสภา” อย่างระบอบทักษิณ จนมาถึงการนำพาประเทศก้าวผ่านวิกฤติการเงินโลกแฮมเบอร์เกอร์ได้รวดเร็วเป็นอันดับ 2 ของโลก และมาถึงทุกวันนี้ที่ประเทศกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมืองอย่างหนัก
วิกฤติการเมือง วิกฤติเศรษฐกิจ รวมไปถึง วิกฤติศรัทธา พรรคประชาธิปัตย์ต่อสู้ฟันฝ่ามาแล้วทั้งสิ้น และก็มีบทพิสูจน์ให้เห็นหลายต่อหลายครั้ง ด้วยอุดมการณ์ที่ยึดมั่นจนทำให้มาสู่จุดที่เป็นสถาบันการเมืองอย่างแท้จริง มีความเป็นพรรคการเมืองที่มีความเป็นประชาธิปไตยจากเนื้อใน ไม่มีใครเป็นเจ้าของพรรค สมาชิกพรรคไม่สามารถถูกซื้อได้ และถือได้ว่าเป็นพรรคของประชาชนอย่างแท้จริงด้วยการมีสมาชิกพรรคกว่า 3 ล้านคน พร้อมสาขาพรรคที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ
มาถึงวันนี้ครับ ปีที่ 72 หัวหน้าพรรคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้กล่าวแถลงเอาไว้ ณ วันเกิดครบรอบพรรคเอาไว้ด้วยกันหลายเรื่องสำคัญ ดังต่อไปนี้...
ยึดมั่น
1.พรรคประชาธิปัตย์ ยึดมั่นในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
2.พรรคประชาธิปัตย์ ยึดมั่นในการต่อสู้กับเผด็จการทุกรูปแบบ ...ข้อนี้ต้องขอขยายความครับว่า ไม่ว่าเผด็จการตั้งแต่ยุคจอมพล มาจนถึงเผด็จการในยุคพลเอก พรรคประชาธิปัตย์ยืนหยัดที่จะขอทำหน้าที่ในระบอบประชาธิปไตย และเคารพในระบบรัฐสภา แต่ก็ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่ทำให้เห็นว่า แม้แต่ในรัฐสภาก็ยังมี “เผด็จการ” เกิดขึ้น ซึ่งเรียกได้ว่าเป็น “เผด็จการรัฐสภา” ที่ใช้เสียงข้างมากที่ได้มาซึ่งวิธีทุจริต ซื้อเสียง หาเสียงด้วยนโยบายประชานิยมสุดโต่ง เกิดผลร้ายต่อประเทศแล้วพอมีอำนาจเต็มในสภาก็ ไม่ฟังเสียงข้างน้อย ออกกฎหมาย แก้รัฐธรรมนูญ ออกพ.ร.ก.เร่งด่วนกู้เงิน ออก พ.ร.บ.นอกระบบกู้เงินแบบตรวจสอบไม่ได้ โดยไม่ฟังคำทัดทานใดๆ หรือล่าสุดแม้แต่นโยบายที่สร้างความเสียหายให้แก่ชาติบ้านเมืองกว่า 9 แสนล้านอย่างจำนำข้าวก็ยังใช้ความเป็น เผด็จการรัฐสภา พวกมากลากไป ผิดเต็มตาแต่ก็บังคับให้สส.โหวตผ่านในการซักฟอก ได้แบบค้านสายตาประชาชน และสื่อมวลชน
3.พรรคประชาธิปัตย์ ยึดมั่นในระบบนิติรัฐ นิติธรรม ...ประเด็นนี้ชัดเจนจากกรณีที่สมาชิกพรรคทุกคนออกมาต่อต้านการลักหลับตอนตีสี่ ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ล้างผิดคนโกง ล้างผิดคดีทุจริตคอร์รัปชั่นของอดีตนายกฯ ที่เป็นนายใหญ่ เจ้าของพรรคของตัวเอง จุดนี้ขัดหลักนิติรัฐ นิติธรรมสากลอย่างรับไม่ได้
4.ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ไม่ว่าในฐานะรัฐบาล หรือฝ่ายค้าน ...ก็มีเครื่องพิสูจน์หลายครั้งครับว่า หากผู้บริหารของพรรคฯ ในตำแหน่งรัฐมนตรีเพียงแค่ “โดนกล่าวหา” ก็ยอมถอยให้กระบวนการยุติธรรมพิสูจน์ได้อย่างง่ายดายไม่เคยกดดัน ไม่เคยให้สินบนหน่วยงานยุติธรรม สุดท้ายแล้ว อดีตรัฐมนตรี เหล่านั้น ไม่พบว่ามีความผิดแต่อย่างใด สร้างบรรทัดฐานดีๆ ให้กับสังคมไทยที่ประชาชนคนไทยต้องตระหนักมากยิ่งขึ้น
ยุคใหม่ประชาธิปัตย์
ประเด็นต่อจากนี้จะเป็นคำมั่นทางนโยบายภาพกว้างที่จะชี้ให้เห็นว่า ในอนาคตแนวนโยบายของพรรคจะเป็นอย่างไร
1.สร้างใหม่ - เครือข่ายสมาชิก และสาขา ที่จะประกอบด้วยคนรุ่นใหม่ครบทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ
2.ฟื้นฟู ด้วยเทคโนโลยี - พรรคจะมีความคล่องตัว และใกล้ชิดประชาชน แบบทันต่อเหตุการณ์มากยิ่งขึ้น ด้วยในโลกปัจจุบัน เทคโนโลยีสามารถเชื่อมผู้แทนกับประชาชนได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
3.พัฒนาด้วยทีมงานและผู้สมัครคนรุ่นใหม่ในความคิด และใหม่ในวิธีการ
สมาชิกยุคใหม่
สมาชิกพรรคจะต้องมีความหลากหลายทั้งเรื่องเพศ ศาสนา อาชีพ วัย และฐานะทางสังคม และจะต้อง ยึดโยงร่วมกันด้วยอุดมการณ์ และความหวังดีต่ออนาคตของประเทศชาติเป็นสำคัญ เราไม่มีข้อจำกัด เราต้องการให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์พรรคฯ เพื่อรวมตัวกันทำงานเพื่อประเทศชาติของเรา
ยุคใหม่ประเทศไทย
1.เปลี่ยนเป้าหมายการทำงาน ด้วยการเพิ่มตัวชี้วัดความเป็นอยู่ของประชาชน พรรคฯ จะเลิกการชี้วัดด้วย GDP เพียงอย่างเดียว เพราะเป็นการชี้วัดเฉพาะตัวเลขเศรษฐกิจที่มองเพียงมิติด้านเศรษฐกิจการเงินเพียงด้านเดียวเท่านั้น
เราจะหันกลับมาให้ความสำคัญอย่างที่สุดกับตัวชี้วัดด้านความเหลื่อมล้ำ ทุกคนจะต้องเท่าเทียมกัน เข้าถึงโอกาสทางการศึกษา และโอกาสในการทำธุรกิจได้ และยังให้ความสำคัญกับตัวชี้วัดด้านสิ่งแวดล้อมไม่เน้นความเจริญที่กระทบสิ่งแวดล้อม รวมถึงตัวชี้วัดด้านบริการสาธารณสุข ที่ประชาชนทุกคนจะต้องมีความกินดีอยู่ดี สุขภาพดี เข้าถึงระบบประกันสุขภาพได้อย่างเท่าเทียมกัน
2.พรรคประชาธิปัตย์พร้อมที่จะต่อสู้กับการ “ผูกขาด” ทุกรูปแบบ เน้นการแข่งขันที่เสรีทางเศรษฐกิจ แบบมีผู้กำกับดูแลที่เน้นประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญ ไม่มีการออกกฎหมายฮั้ว ไม่มีการออกกฎหมายเอื้อธุรกิจให้พวกพ้อง ไม่มีการกระทำสิ่งใดที่ขัดต่อความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่ แล้วเอื้อต่อคนส่วนน้อย
3.สร้างสังคมสวัสดิการรองรับสังคมผู้สูงอายุ ตาม Mega Trends ของไทยที่กำลังจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุแบบเข้มข้นในอนาคตอันใกล้ คนไทยจะต้องเป็นคนที่ไม่แก่แล้วจน มีสวัสดิการพื้นฐานของรัฐคุ้มครอง บ้านเมืองมีระบบ ระเบียบที่พร้อมดูแลผู้สูงอายุอย่างครบวงจร ไม่ถูกทอดทิ้ง
4.ส่งเสริม E-Government เปิดเผยข้อมูลรัฐให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเชื่อมโยงกัน และที่สำคัญที่สุดคือทำให้ภาคราชการต้องมีหน้าที่หลักคือบริการประชาชน ยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ
5.ปรับบทบาทข้าราชการ ทบทวนกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ และใบอนุญาตทั้งหมดเป้าหมาย ปรับลด 50% ภายใน 4 ปี เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการทำธุรกิจ ประชาชนไม่เดือดร้อนจากข้อกฎหมายที่เยอะจนเป็นข้อจำกัดในการดำเนินชีวิตของประชาชน และเอื้อให้ข้าราชการใช้เป็นช่องในการรังแกและหากินจากประชาชน
6.ยกเครื่องการศึกษา เด็กไทยทุกคนมีโอกาสเท่ากัน การศึกษาไทยตอบโจทย์โลกยุคใหม่
7.เลือกตั้งผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ โอนอำนาจดูแลตำรวจ โรงเรียน สถานพยาบาล
8.เอาจริงปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่น รัฐเปิดข้อมูลในระบบดิจิทัล และ ปกป้อง ส่งเสริม มอบรางวัลให้ “Whistle Blowers”
9.เพิ่มความเป็นธรรม สนับสนุนศาลให้พิจารณาคดีโดยเร็ว
ทั้งหมดนี้เราเชื่อมั่นว่า ในอนาคตเมื่อพรรคการเมืองถูกปลดล็อกแล้ว พรรคฯจะสามารถกำหนดและแจ้งนโยบายให้ประชาชนทราบโดยทั่วกันตามคำมั่นที่หัวหน้าพรรคคุณอภิสิทธิ์ ได้กล่าวมาในวันที่ 6 เมษายนที่ผ่านมานี้อย่างแน่นอนครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี