คำตอบสุดท้าย สำหรับโครงการบ้านพักตุลาการ เชิงดอยสุเทพ จะเป็นอย่างไร ทุกฝ่ายคงต้องยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ยอมลดราวาศอก และเอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง
1. นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ชี้แจงข้อเท็จจริงว่า กรณีมีการเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับพื้นที่ก่อสร้างบ้านพักตุลาการ ยืนยันว่า ที่ตั้งโครงการดังกล่าวไม่เกี่ยวอะไรเลยกับการออกประกาศในพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย เมื่อปี 2560 โดยครั้งนั้นเป็น พ.ร.ฏ.เพิกถอนบริเวณที่หน่วยงานราชการขอใช้ประโยชน์อยู่เดิม ออกจากเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย จำนวน 9 หน่วยงาน ได้แก่ กรมวิชาการเกษตร สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) โครงการเชียงใหม่ ไนท์ซาฟารี สำนักงานพิงคนคร (องค์การมหาชน) มูลนิธิโครงการหลวง ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวเชียงใหม่ กรมการข้าว ศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านแมลงเศรษฐกิจ จ.เชียงใหม่ สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 จ.เชียงใหม่ ศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านการอารักขาพืช จ.เชียงใหม่ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (วัดดอยปุย)
สาเหตุที่ต้องมีการเพิกถอนพื้นที่ดังกล่าวออกจากเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย เนื่องจากบริเวณที่หน่วยงานราชการใช้ประโยชน์อยู่ก่อนแล้ว ขัดกับแนวทางการบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติ โดยการเพิกถอนเขตอุทยานแห่งชาติ(บางส่วน)ครั้งนี้ ไม่ได้รวมกับบริเวณบ้านพักตุลาการ ซึ่งอยู่นอกเขตอุทยานแห่งชาติมาแต่เดิมแล้ว
และเมื่อตรวจสอบความเป็นมาของบริเวณสถานที่ก่อสร้างบ้านพักตุลาการ พบว่าเมื่อปี พ.ศ. 2483 ได้มี พ.ร.ฏ.กำหนดเขตหวงห้ามที่ดินในท้องที่อำเภอแม่ริมไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในราชการทหาร จากนั้นเมื่อปี พ.ศ 2500 มีการนำที่ดินดังกล่าวขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุ ระบุว่าเป็นการใช้ในราชการกระทรวงกลาโหม และมีการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (นสล.) ให้อยู่ในความควบคุมดูแลของกรมธนารักษ์เนื้อที่ 23,787-2-37 ไร่
ต่อมา ในปี พ.ศ. 2540 ได้เริ่มมีการขอใช้พื้นที่ราชพัสดุเพื่อก่อสร้างบ้านพักศาลและอาคารที่ทำการ โดยสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 และมีการอนุญาตจากกรมธนารักษ์ให้ใช้พื้นที่ในปี พ.ศ. 2547 เนื้อที่ 147-3-30 ไร่
เริ่มมีการก่อสร้างต้นปี 2557 จนถึงปัจจุบัน
อธิบดีฯ ธัญญา ยังได้ระบุว่า ทางกรมอุทยานแห่งชาติฯ มีแผนที่แสดงแนวเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย กับพื้นที่ก่อสร้างบ้านพักตุลาการ ซึ่งอยู่นอกแนวเขตอุทยานฯ มาตั้งแต่เริ่มต้นอย่างชัดเจน
2. จากแผนที่จะเห็นได้ชัดเจนว่า โครงการอยู่นอกเส้นเขตอุทยานแห่งชาติ
เพราะฉะนั้น การที่ใครจะไปกล่าวหาว่าโครงการนี้บุกรุกอุทยานแห่งชาติ ย่อมไม่ถูกต้อง
การตัดสินใจมิให้ใช้ประโยชน์จากสิ่งปลูกสร้างที่สร้างไปแล้ว เฉพาะบ้านพักด้านบนสุด มูลค่าโครงการราวๆ 340 ล้านบาท (ลงนามสัญญาผูกพันกับผู้รับเหมาก่อสร้างเมื่อเดือน ก.ค.2556 ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์) จึงมิใช่เพราะว่ามันรุกป่าอุทยาน และไม่ใช่เพราะว่าสถาบันตุลาการไม่ควรใช้ แต่เป็นเพราะมันตั้งอยู่ระดับสูงในลักษณะตะกายดอยขึ้นไป แม้จะไม่ล้ำที่อุทยาน แต่ล้ำเข้าไปในพื้นที่กันชน ชายขอบอุทยานเชิงดอยสุเทพ ซึ่งควรมีนโยบายอนุรักษ์ไว้ มิให้ใครก็ตามขึ้นไปใช้ประโยชน์ในลักษณะนี้
ถ้าถือหลักการเช่นนี้ ไม่ว่าหน่วยงานไหน ก็ไม่ควรจะเข้าไปใช้ประโยชน์ทั้งสิ้น
จะอ้างว่าเป็นศูนย์การเรียนรู้ของประชาชน เอาไว้จัดสัมมนา พักผ่อนหย่อนใจ ก็ไม่เหมาะสมทั้งนั้น
เพราะถ้าปล่อยให้มีการก่อสร้างแล้วใช้ประโยชน์ได้ ก็จะเป็นบรรทัดฐานแบบอย่างต่อไปว่า หน่วยงานอื่น สามารถจะขอใช้ประโยชน์ที่ดินในจุดที่ไม่ได้รุกล้ำอุทยานดอยสุเทพตามแนวเส้นในภาพ โดยในอนาคตอาจขอทำบ้านพัก ศูนย์ประชุม รีสอร์ทตากอากาศ ฯลฯ เพราะมันไม่ได้รุกอุทยานเหมือนกับโครงการนี้ และโครงการนี้ก็ยังมีการเข้าไปใช้ประโยชน์ได้อยู่นั่นเอง (แม้จะไม่ใช่บ้านพักศาลแล้วก็ตาม)
นั่นเท่ากับว่า สังคมเราจะไม่ได้บทเรียนหรือเรียนรู้อะไรเลยจากความผิดพลาดของโครงการนี้
3. ส่วนคำตอบสุดท้าย จะเลือกดำเนินการอย่างไร?
ทางที่หนึ่ง รื้อทิ้ง แล้วลงทุนปลูกป่าแทนโครงการเดิม
คืนเป็นป่า ซึ่งมีต้นทุนค่าใช้จ่ายไม่น้อย และยากที่จะเหมือนเดิม
ทางที่สอง รื้อทิ้ง แล้วทิ้งร้างไว้ต่อไป
พร้อมติดป้ายประกาศแจ้งข้อเท็จจริงไว้หน้าโครงการ ว่าเกิดขึ้นมาในยุคไหน ใครเกี่ยวข้องอย่างไร และเกิดบทเรียนอะไร ประชาชนต่อต้านอย่างไร เพื่อบันทึกประวัติศาสตร์ให้ถูกต้อง
คนเชียงใหม่ และคนทั้งประเทศไทยจะได้รู้ว่า ใครมันคิดและอนุมติให้ตั้งโครงการบ้านพัก ณ จุดนั้น และใครอนุมัติงบทำสัญญากับผู้รับเหมาเมื่อใด?
ทางที่สาม ไม่ต้องรื้อ ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม ให้ธรรมชาติจัดการของมันเอง ทิ้งไว้เป็นบ้านร้าง ให้คนรุ่นหลังถามต่อๆ กันไป เหมือนเสาตอม่อโฮปเวลล์ที่กรุงเทพฯ
และไม่ว่าจะเลือกทางใด หากเป็นการทำให้สังคมสูญเสียเงินแผ่นดินไปโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์เดิม ก็ควรจะต้องสอบสวนข้อเท็จจริง และเปิดโปงให้สังคมได้รับทราบที่มาที่ไปของโครงการ รวมทั้งประเด็นความไม่เหมาะสมจนต้องยุติการใช้ประโยชน์ไป รวมถึงการติดตามทวงถามความรับผิดชอบจากผู้เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจให้ก่อสร้างดำเนินโครงการ ณ ที่ตั้งอันเป็นปัญหาหมู่บ้านป่าแหว่งในปัจจุบัน
4. ไม่ว่าจะเลือกทางใด รัฐบาลก็ยังคงต้องดำเนินการจัดหาบ้านพักข้าราชการให้ผู้พิพากษาต่อไป
เหตุผลและความจำเป็น ได้ปรากฏว่า ในเฟซบุ๊คส่วนตัว Supoj Poj Nuklieng ได้เขียนไว้อย่างน่าสนใจ
บางช่วงบางตอน ดังนี้
“...ข่าวบ้านพักศาลเชิงดอยสุเทพที่เชียงใหม่ยังเป็นที่สนใจของสังคม สื่อทุกประเภทหยิบยกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง นักวิชาการคนหนึ่งส่งคลิปการนำสื่อไปสำรวจพื้นที่แล้ววิพากษ์วิจารณ์ศาลยุติธรรมอย่างรุนแรง ศาลซึ่งเคยเป็นผู้ตัดสินคดีกลับกลายมาเป็นจำเลยเสียเอง
แน่นอน ศาลเป็นองค์กรหนึ่งของรัฐต้องพึ่งพางบประมาณแผ่นดินซึ่งเป็นภาษีของประชาชน ผู้พิพากษาจึงต้องยอมรับคำตัดสินของประชาชน ศาลเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน แต่ประชาชนก็เป็นที่พึ่งสุดท้ายของศาลเช่นเดียวกัน ในการตัดสินคดีของศาล คู่ความต้องนำสืบข้อเท็จจริงให้ครบถ้วนเพื่อศาลจะได้ตัดสินคดีได้อย่างถูกต้อง การตัดสินคดีของประชาชนที่ศาลเป็นจำเลย ประชาชนก็ควรได้รับรู้ข้อเท็จจริงที่ครบถ้วนเพื่อการพิพากษาที่ถูกต้องเช่นเดียวกัน แต่กลุ่มคัดค้านการสร้างบ้านพักศาลดูจะเป็นฝ่ายได้เปรียบในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารทุกทางไม่ว่าทางสื่อกระแสหลักหรือสื่อโซเชียล ในขณะที่ศาลยุติธรรมถูกปิดปากมัดมือด้วยจริยธรรมในฐานะเป็นองค์กรหลักของบ้านเมือง จึงได้แต่ปกป้องตัวเองไม่อาจลงไปตอบโต้รุนแรงถึงลูกถึงคนเหมือนอย่างที่กลุ่มคัดค้านการสร้างบ้านพักกระทำได้
... เรื่องการสร้างบ้านพักศาลในป่าเชิงดอยสุเทพ เชียงใหม่เป็นจังหวัดใหญ่ มีองค์กรศาลยุติธรรมถึง 7 องค์กรอยู่ที่นั่น คือ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 สำนักงานศาลยุติธรรมภาค 5 ศาลแรงงานภาค 5 ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5 ศาลจังหวัดเชียงใหม่ ศาลแขวงเชียงใหม่ และศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดเชียงใหม่ มีผู้พิพากษาที่ต้องไปทำงานประจำที่นั่นประมาณ 150 คน บ้านพักราชการย่อมไม่เพียงพอ เมืองเชียงใหม่เป็นเมืองท่องเที่ยว ค่าครองชีพสูง บ้านเช่าหลังหนึ่งราคา 10,000 ถึง 20,000 บาทต่อเดือน ผู้พิพากษาเบิกค่าเช่าบ้านได้เพียง 4,000 บาทต่อเดือน ผู้พิพากษาบางท่านเพิ่งเข้ารับราชการใหม่เงินเดือนยังน้อยสามสี่หมื่นบาท เช่าบ้านอยู่ไม่ได้ต้องไปเช่าหอพักรวมอยู่กับนักศึกษา
แม้กระทั่งระดับอธิบดีผู้พิพากษาภาคบางภาคในเมืองใหญ่ที่ไม่มีบ้านพัก ยังต้องไปเช่าคอนโดราคา 4,000 บาท รวมอยู่กับชาวบ้านนี่คือความจริงที่พร้อมจะพิสูจน์ทุกเวลา
ถ้าถามว่าแล้วทำไมสำนักงานศาลยุติธรรมไม่สร้างบ้านพักให้เพียงพอ คำตอบก็คืองบประมาณนั้นพอหาได้แต่ไม่มีที่ดินในเมืองใหญ่อีกแล้วที่ว่างพอจะสร้างบ้านพักให้ได้ ที่ดินราชพัสดุส่วนใหญ่อยู่ในมือของหน่วยราชการอื่นหมดแล้ว ศาลต้องไปวิงวอนขอร้องขอแบ่งที่ดินจากหน่วยราชการเหล่านั้นซึ่งจะได้หรือไม่ได้แล้วแต่ความกรุณาปรานี
มหาวิทยาลัยของรัฐเกือบทุกแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ครอบครองที่ดินราชพัสดุไว้มหาศาล 2,000 ไร่เศษ ใหญ่เป็นอันดับสามของมหาวิทยาลัยทั้งประเทศ ไม่เคยเดือดร้อนในเรื่องที่ดิน อาจารย์มหาวิทยาลัยมีบ้านพักราชการเกือบทุกคนมีสนามเทนนิส สนามฟุตบอล สระว่ายน้ำ บรรยากาศร่มรื่น เช้าเย็นพาลูกเมียเล่นกีฬาออกกำลังกายอย่างมีความสุขสนุกสนานอย่างเต็มที่ ในขณะที่ผู้พิพากษาซึ่งต้องทำหน้าที่ตัดสินคดีจำคุกหรือประหารชีวิตคนเป็นงานที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าอาจารย์มหาวิทยาลัยกลับต้องนอนคุดคู้กับลูกเมียอยู่ในหอพักหรือคอนโดแคบๆ ซึ่งอาจจะเป็นห้องข้างเคียงกับลูกศิษย์ของอาจารย์มหาวิทยาลัย
เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมและโฆษกสำนักงานศาลยุติธรรมออกมาพูดเรื่องนี้ไม่ได้เพราะเป็นเรื่องเสื่อมเสียน่าอับอาย แต่ถึงวันนี้เป็นข้อเท็จจริงที่ประชาชนควรจะรับรู้ไม่ใช่เพื่อขอความเห็นใจแต่เพื่อขอความเป็นธรรมให้แก่ศาลในฐานะจำเลยของสังคม
...ประเด็นต่อไปเรื่องการลักหลับ แอบสร้างบ้านพักในป่าลึกไม่ให้ชาวเชียงใหม่รู้ สภาพพื้นที่ก่อสร้างบ้านพักอยู่ใกล้กับตัวอาคารศาลซึ่งสร้างใหม่มองจากด้านล่างขึ้นไปก็เห็นได้ชัดว่ามีการปรับพื้นที่ก่อสร้างบ้าน ไม่ได้ทำกำแพงปิดรั้วทึบไม่ให้ใครเห็น หากเห็นว่ามีการไถปรับหน้าดินตัดโค่นต้นไม้ ถ้ากลุ่มคัดค้านรักป่าจริง ไม่ว่าหน่วยงานไหนทำ ก็ควรรีบคัดค้านเสียตั้งแต่ต้น ไม่ใช่รอจนสร้างเกือบเสร็จ เมื่อรู้ว่าเป็นบ้านพักศาลยุติธรรมจึงออกมาคัดค้าน เงินแผ่นดิน 500 ล้านบาท ไม่มากหรอก เมื่อเทียบกับเงินจำนำข้าว 500,000 ล้านบาท ที่ถูกงาบไป แต่ก็น่าเสียดายหากต้องทุบทิ้งไปโดยไร้ประโยชน์เพราะเป็นเงินงบประมาณภาษีของคนไทยทุกคนไม่ใช่เฉพาะของชาวเชียงใหม่…”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี