การปฏิรูปตำรวจถือเป็นวาระแห่งชาติและเป็นเรื่องที่ประชาชนเรียกร้องให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ใช้อำนาจพิเศษดำเนินการให้สำเร็จเสียที แต่จนแล้วจนรอด 4 ปีหลังการรัฐประหารของคสช. การปฏิรูปตำรวจยังพายเรือในอ่างท่ามกลางการจับตามองสังคมที่เกรงว่าในที่สุดอาจจบลงแบบเสียของ
หลังจากที่ก่อนหน้านี้อำนาจรัฐคสช.ได้แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมหรือคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจที่มี พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นประธาน ซึ่งคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจชุดดังกล่าวใช้เวลาราว 6 เดือนศึกษาแนวทางปฏิรูปตำรวจจนได้ผลสรุปรายงานต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่ายว่า ผลศึกษาแนวทางการปฏิรูปตำรวจของคณะกรรมการชุดของ พล.อ.บุญสร้างไม่มีการปฏิรูปตำรวจในสาระสำคัญเพราะยังเกรงใจตำรวจ
ทั้งนี้มีการตั้งข้อสังเกตว่า อำนาจรัฐคสช.เหมือนพยายามยื้อเวลาการปฏิรูปตำรวจเพราะหากตั้งใจที่จะปฏิรูปจริงด้วยอำนาจที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดและเวลาที่เนิ่นนานมาถึง 4 ปีน่าจะสำเร็จเห็นผลเป็น
รูปธรรมนานแล้ว แต่กลับเพิ่งมีการตั้งคณะกรรมการปฏิรูปตำรวที่มี พล.อ.บุญสร้าง เป็นประธานเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี่เอง ซ้ำสัดส่วนคณะกรรมการที่จะมาศึกษาแนวทางการปฏิรูปตำรวจซึ่งมีทั้งหมด 22 คนกลับเป็นตำรวจถึง 15 คน ซึ่งหากเป็นอย่างนี้ย่อมแน่นอนว่าปฏิรูปตำรวจไม่มีทางเกิดขึ้นเพราะเสียงข้างมากในคณะกรรมการถูกครอบงำโดยฝ่ายตำรวจ
ล่าสุดนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ประกาศจะรื้อผลศึกษาแนวทางปฏิรูปตำรวจของคณะกรรมการชุดของ พล.อ.บุญสร้างอย่างถึงแก่นของปัญหาอย่างแท้จริงโดยย้ำว่าจะไม่เกรงใจตำรวจเหมือนที่ผ่านมาโดยยึดบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเป็นแนวทางหลักในการพิจารณา
ทั้งนี้การปฏิรูปตำรวจเป็นเรื่องสำคัญที่ประชาชนเรียกร้องและตั้งความหวังกับคสช.ไว้มาก เพราะประชาชนเป็นผู้สัมผัสและได้รับผลกระทบโดยตรงจากตำรวจซึ่งเป็นต้นทางสำคัญของกระบวนการยุติธรรมที่มีอำนาจทั้งการจับกุม ทำสำนวนคดีเพื่อส่งฟ้อง ซึ่งที่ผ่านมาจากพฤติกรรมเลวร้ายในวงการตำรวจทำให้เกิดข่าวอื้อฉาวทั้งการซื้อขายตำแหน่ง รับใช้พรรคการเมืองบางพรรค การจับแพะยัดข้อหา รีดไถรับส่วย ทำสำนวนคดีจากดำเป็นขาวจากขาวเป็นดำ หรือบางทีตำรวจเป็นโจรเสียเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นความอัดอั้นตันใจของประชาชนมาช้านาน
ก่อนหน้านี้เครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจและองค์กรภาคประชาชนทั่วประเทศ 102 องค์กรเคยยื่นข้อเรียกร้องให้ปฏิรูปตำรวจใน 8 ด้าน อาทิ โอน 11 หน่วยงานในสังกัดองค์กรตำรวจไปให้กระทรวงทบวงกรมต่างๆที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นการกระจายอำนาจและเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ แยกระบบงานสอบสวนออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ให้พนักงานอัยการมีอำนาจตรวจสอบควบคุมการสอบสวนคดีที่มีโทษจำคุกเกิน 5 ปี หรือคดีที่เห็นว่าจำเป็น หรือกรณีที่มีการร้องเรียนตั้งแต่เกิดเหตุเพื่อให้การรวบรวมพยานหลักฐานเป็นไปด้วยความสุจริต
การสอบสวนต้องทำในห้องสอบสวนที่จัดเฉพาะ มีระบบบันทึกภาพ และเสียงอัตโนมัติเป็นหลักฐานไว้ให้อัยการและศาลเรียกตรวจสอบได้เมื่อจำเป็นทุกคดี ยุบกองบัญชาการตำรวจทุกภาคเพื่อลดความซ้ำซ้อนและไม่จำเป็นในระบบการบังคับบัญชา ปรับโครงสร้างตำรวจจังหวัดที่ให้ตำรวจอยู่ประจำพื้นที่จังหวัด ตรวจสอบประเมินผลโดยคณะกรรมการจังหวัดและการบังคับบัญชาของผู้ว่าราชการจังหวัด กำหนดหลักเกณฑ์การแต่งตั้ง เลื่อนตำแหน่งและโยกย้ายตำรวจโดยพิจารณาตามอาวุโสการครองตำแหน่งเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ รวมทั้งสร้างความเป็นธรรมลดปัญหาการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่ง การเปรียบเทียบปรับความผิดจราจรต้องกระทำโดยดุลยพินิจของศาลเพื่อให้เกิดความยุติธรรมต่อประชาชนและยกเลิกรางวัลค่าปรับ ซึ่งเปิดช่องให้มีการทุจริต
ดังนั้นได้แต่หวังว่าคณะกรรมการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติที่นายมีชัยเป็นประธานจะเลิกเกรงใจตำรวจและปฏิรูปวงการตำรวจให้ใสสะอาดอย่างที่ประกาศโดยต้องรับฟังเสียงของประชาชนเป็นที่ตั้ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี