ในแผนการปฏิรูปประเทศด้านสังคม เพื่อรับมือ “สังคมสูงวัย” ปรากฏข้อเสนอแนวทางที่น่าสนใจหลายประการ อาทิ ขยายเกษียณอายุราชการ จาก 60 ปี เป็น 63 ปี โดยไม่ให้กระทบต่อการก้าวหน้าของคนรุ่นใหม่ ไม่ครอบคลุมงานที่ต้องใช้ศักยภาพทางร่างกาย เช่น ทหาร ตำรวจ เป็นต้น, จัดให้มีศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิต โรงเรียนผู้สูงอายุ ส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ ครอบคลุมทุกตำบล เป็นต้น
ข้อเสนออันหนึ่งที่น่าสนใจ คือ การสร้างระบบการออมภาคบังคับผ่านทางภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
1. ข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่า ประชากรไทยโดยเฉลี่ยมีรายได้ไม่เพียงพอที่จะชดเชยค่าใช้จ่ายตลอดช่วงชีวิต และมีการออมอยู่ในระดับต่ำ
พบว่า ผู้สูงอายุ 24% ไม่มีเงินออม
หมายความว่า เมื่ออายุ 60 ปี จะไม่มีเงินไว้ใช้จ่ายเลย
ถ้ายังมีงานทำ หรือยังทำงานได้ ก็จึงจะมีเงินมาใช้จ่าย
แต่ถ้าไม่มีงานทำ หรือทำงานไม่ได้ ก็เป็นภาระของภาครัฐ
2. ปัจจุบัน รัฐบาลได้จัดให้มีการออมภาคสมัครใจ โดยมีการเพิ่มแรงจูงใจ สมทบเงินช่วยออม คือ กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) แต่ยังมีสมาชิกเพียง 7 แสนคนเท่านั้น
วิเคราะห์ได้ว่า น่าจะมีเหตุผล 2 ส่วน อย่างแรกคือ กลุ่มเป้าหมายที่ไม่มีเงินออมนั้น มักเป็นคนที่มีรายได้น้อยอยู่แล้ว จึงมองว่าเงินที่ได้มา หากนำมาใช้จ่ายในวันนี้ จะมีความคุ้มค่ากว่าที่จะเก็บออมไว้ใช้จ่ายในวันข้างหน้าในคราวที่ตนเองอายุ 60 ปี
อย่างที่สอง คือ ประชาชนบางส่วนอาจจะยังไม่ทราบถึงว่า กอช. มีประโยชน์อย่างไร? จะสามารถสมัครเข้าเป็นสมาชิกได้อย่างไร?
จะเห็นได้ว่า นี่คือกลไกที่รัฐบาล คสช.ดำเนินการอยู่ แต่ยังไม่บรรลุเป้าหมาย
ขอเสนอให้ดำเนินการต่อไป และเพิ่มสิทธิประโยชน์ เงื่อนไขจูงใจให้ประชาชนเข้ามาเป็นสมาชิกมากขึ้น
อาจลองพิจารณาเงื่อนไขสิ่งจูงใจที่ตอบสนองต่อจริต หรือความนิยมของชาวบ้านกลุ่มเป้าหมาย เช่น สมาชิกได้ลุ้นรางวัลรายเดือน คล้ายๆ ที่ ส่งเสริมให้คนใช้จ่ายเงินผ่านระบบอี-เพย์เม้นท์ เป็นต้น
3. นับว่าเป็นเรื่องดี ที่ในแผนการปฏิรูปประเทศฯ ไม่ได้วาดฝันสวยๆ ไว้เท่านั้น แต่มีการกำหนดตัวชี้วัดสำหรับการดำเนินการเอาไว้ด้วย
สำหรับประเด็นการปฏิรูปการออม มีการนำเสนอในแผนปฏิรูปฯ แล้ว เช่น
- เพิ่มประสิทธิภาพการบริหาร กอช. กำหนดให้หนึ่งในตัวชี้วัดการปฏิรูปการออม คือ สมาชิกกอช.ได้รับเงินบำนาญไม่ต่ำกว่าคนละ 1,500 บาทต่อเดือน สมาชิกกอช.มีไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน ภายในปี 2561 และเพิ่มเป็น 15 ล้านคน ภายในปี 2565
- สร้างระบบให้คนไทยมีบำเหน็จบำนาญหลังพ้นวัยทำงาน โดยกำหนดตัวชี้วัด คือ การมีพระราชบัญญัติว่าด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญในรูปแบบการออมภาคบังคับภายใน 2 ปี (2562) และประชาชนมีรายได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30 ของรายได้สุดท้ายที่ประชาชนได้รับภายใน 15 ปี
- พัฒนาการออมภาคบังคับ โดยวิธีการจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ส่วนหนึ่ง คืนกับผู้เสียภาษีตามเลขบัตรประชาชน เพื่อเป็นเงินออมของผู้เสียภาษีจนอายุ 60 ปี โดยมีตัวชี้วัด คือ การมีกฎหมายที่กำหนดจัดสรรเงินจากภาษีมูลค่าเพิ่มคืนผู้บริโภคเป็นเงินออมโดยตรงภายในปี 2562 ซึ่งหน่วยงานผู้รับผิดชอบหลักคือกระทรวงการคลัง
- ให้มีการปรับปรุงสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากสวัสดิการต่างๆ ให้เหมาะสมและเป็นธรรม
4. ก่อนจะสายเกินไป... กลไกส่งเสริมการออกภาคบังคับ จำเป็นที่จะต้องดำเนินการ
ข้อเสนอในแผนการปฏิรูปประเทศ คือ การออมผ่านภาษีมูลค่าเพิ่ม
หรือจะเรียกว่า คืนภาษีให้กับประชาชนในยามชราก็ได้
สมมุติว่า หักจากภาษีมูลค่าเพิ่ม 1%
หมายความว่า เวลาที่ประชาชนไปซื้อสินค้าและบริการที่จะต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมอยู่ในราคาสินค้าอยู่แล้ว (ปัจจุบันจ่าย 7%) หากดำเนินการตามแนวทางนี้ ก็อาจเก็บเพิ่มอีก 1% รวมเป็น 8% แต่ส่วนที่เพิ่มขึ้นมา 1% นั้น ไม่ได้ส่งเข้าไปเป็นรายได้ภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยเก็บออมไว้ในชื่อของผู้จ่ายภาษีนั่นเอง
ปัจจุบัน big data ทำให้การจัดระบบข้อมูลง่ายขึ้น ทำได้ไม่ยาก
ใครจ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการมาก ก็ถูกหักไว้มาก และเมื่อถึงวัย 60 ปี ก็สามารถจะได้รับเงินคืนตามสัดส่วน โดยนำเงินก้อนทั้งหมด ทยอยคืนเป็นรายเดือน แล้วแต่ว่าใครเก็บออมผ่านภาษีมูลค่าเพิ่มไว้มากน้อยแค่ไหน
พูดง่ายๆ ว่า พอถึงวัย 60 ปี ชาวบ้านนอกจากจะได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงวัย
รวมถึงได้เงินบำนาญผ่าน กอช. แล้ว
ก็ยังจะได้เงินอีกส่วนหนึ่งจากกลไกการออมภาคบังคับนี้ด้วย
จะทำให้ชีวิตหลังวัย 60 ปี มีหลักประกันพื้นฐานทางรายได้มากขึ้น
ลองคิดง่ายๆ หากคำนวณจากรายได้ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่รัฐบาลจัดเก็บได้ในปีงบประมาณ 2560 จำนวน 751,819 ล้านบาท ถ้าให้มีการออมผ่านภาษีมูลค่าเพิ่มอีกสัก 1% ก็น่าจะมีเงินออมของประชาชนทั้งระบบทันที ราวๆ 1 แสนล้านบาท!!!
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี