คสช. เข้ายึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ระหว่างการเมืองสามานย์กับประชาชนผู้รักชาติที่ขับเคี่ยวต่อสู้กันมาร่วม 10 ปี โดยหวังเอาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง ดังนั้นจึงได้รับการสนับสนุนจากประชาชนทั่วประเทศอย่างท้วมท้น
หลังจากเข้าสู่อำนาจแล้ว ทั้งการเมืองสามานย์และประชาชนผู้รักชาติต่างถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกที่ก่อปัญหาแก่บ้านเมืองเหมือนกันและมีฐานะอย่างเดียวกัน คือต้องถูกดำเนินคดี จนต้องติดคุกติดตะรางและถูกเรียกค่าเสียหายเสมอกัน
เมื่อพวกทุนสามานย์และประชาชนผู้รักชาติถูกมองว่าเป็นปัญหาของชาติเหมือนกัน ดังนั้น จึงเอาพวกตาอยู่ที่ไม่เคยรู้ร้อนหนาวด้วยการแผ่นดินเข้ามาเป็นที่พึ่งที่อาศัยในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง แม้กระทั่งคณะนายทหารที่ร่วมก่อการมาด้วยกันก็ได้พ้นออกจากวังวนแห่งอำนาจ ไปเลี้ยงหลานอยู่กับบ้านด้วยความชอกช้ำระกำใจ
ยกเว้นบางท่านที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี
ถ้าลองนึกกันดูว่า หากช่วงที่มีการยึดอำนาจนั้น และใช้ผู้คนพวกตาอยู่เข้าก่อการ สถานการณ์จะมาถึงวันนี้ได้หรือไม่ เพราะในบรรดาตาอยู่นั้น ก็มีอยู่ไม่น้อยที่เป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยงของการเมืองสามานย์ บ้างก็เป็นพวกชนะไหนก็เอาด้วยช่วยกระพือ
ดังนั้นคนดีมีฝีมือจึงมิได้รับการส่งเสริมให้เข้าสู่อำนาจในบ้านเมือง แต่คนที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว หรืออาจจะหมักหมมกับปัญหามาตลอดกลับได้รับการส่งเสริมให้มีอำนาจในบ้านเมือง
ดังนั้นสิ่งที่ต้องการจะทำโดยเฉพาะการปฏิรูปประเทศกับสิ่งที่ต้องการจะแก้ไขปรับปรุงและการฟื้นฟูประเทศชาติ จึงมีสภาพดังที่เป็นอยู่
และมาถึงวันนี้ก็มีพวกตาอยู่จำนวนหนึ่งที่ต้องการจะอยู่ในอำนาจต่อไป จึงผลักดันให้ คสช. บางส่วนสืบทอดอำนาจต่อไป
แต่มาถึงวันนี้ บรรดาอภินิหารทางกฎหมายที่ทำให้เชื่อว่าการกำหนดให้มี สว. 250 คน และจะร่วมโหวตให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้ก็เผยตัวออกมาให้เห็นแล้วว่าเป็นเพียงมายาลวงโลก และไม่สามารถทำให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีได้ แต่การเผยตัวนี้ก็เกิดขึ้นในปลายแห่งอำนาจเสียแล้ว จะแก้ไขอย่างไรก็คงไม่ทันการณ์
นี่ก็เป็นวิบากกรรมอย่างหนึ่งของการไปใช้ช่างตัดเสื้อที่เคยตัดมาแล้วกี่ชุดต่อกี่ชุดก็ใช้ไม่ได้ ต้องโยนทิ้งถังขยะไปทั้งหมดแล้ว เสื้อผ้าชุดใหม่ที่เพิ่งตัดก็คงไม่พ้นที่จะต้องถูกโยนทิ้งถังขยะอีก
เมื่อรู้ความจริงว่าการที่ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีต้องมีมติสนับสนุนจากสภาผู้แทนราษฎรเกิน 250 คน และการที่จะบริหารราชการแผ่นดินได้ก็ต้องมีเสียงสนับสนุนจากสภาผู้แทนราษฎรเกิน 250 คน จึงต้องมีการดิ้นรนเพื่อให้ไดเข้าสู่อำนาจทางการเมือง โดยการต้องมีพรรคการเมืองสนับสนุนเพื่อให้มีคะแนนเสียงเกิน 250 คน
และจากสภาพความเป็นจริงของประเทศไทยนั้น จึงทำให้ก่อเกิดเป็นลักษณะสามก๊กทางการเมืองขึ้น
ก๊กแรก ก็คือพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคเก่าแก่ของประเทศไทย ซึ่งได้แสดงจุดยืนชัดเจนว่าจะไม่สนับสนุนคนนอก คือผู้ที่ไม่ได้เป็น สส. เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นอันขาดและความเก๋าของพรรคนี้ก็เป็นที่คาดหมายว่าดีร้ายอย่างไรก็คงจะได้ผู้แทนราษฎรระหว่าง 90-110 ที่นั่ง
ก๊กที่สอง ก็คือพรรคเพื่อไทย ซึ่งแม้ก่อตั้งขึ้นหลังพรรคประชาธิปัตย์ แต่เพราะเป็นพรรคที่ต่อเนื่องมาจากพรรคพลังประชาชน และพรรคไทยรักไทย ซึ่งเคยเรียนรู้วิธีจัดตั้งทางการเมืองมาจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน และเป็นแชมป์ในสมรภูมิการเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมา นับแต่ปี 2543 จึงเป็นพรรคที่มีพลังทางการเมืองมากที่สุด และมีการนำที่เฉลียวฉลาดมากที่สุด ที่ถึงขั้นประกาศว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ”
ดังนั้น ดีร้ายอย่างไร ก๊กที่สองนี้คงจะได้ สส. ระหว่าง200-230 ที่นั่ง และปัจจัยสำคัญที่จะเพิ่มหรือลดยังมีอีก คือ ความนิยมหรือกองหนุนรัฐบาลปัจจุบันว่าเพื่อขึ้นหรือลดลงประการใด ในช่วงก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้ง
ก๊กที่สาม ก็คือก๊กที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. เป็นนายกรัฐมนตรีสืบต่อไป ซึ่งประกอบด้วยหลายพรรค ส่วนใหญ่เป็นพรรคที่จัดตั้ง หรือจะจัดตั้งขึ้นมาใหม่ และส่วนใหญ่ไม่เคยปรากฏฝีไม้ลายมือในสมรภูมิเลือกตั้ง พรรคเล็กๆ เหล่านี้ประกาศเปิดหน้าตัวเองว่าไม่สนับสนุนคนในพรรคการเมืองตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี แต่จะสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี
ก๊กที่สามนี้ยังมีข่าวการประสานงานเชื้อเชิญพรรคเล็กพรรคน้อยที่เคยร่วมรัฐบาลกับพรรคไทยรักไทยให้เข้ามาเป็นพวก แต่ก็มีเสียงแบ่งรับแบ่งสู้ หาความแน่นอนอันใดไม่ได้
คงเหลืออีกพรรคหนึ่งซึ่งลับๆ ล่อๆ คือพรรคประชารัฐ ที่เดิมที่มีข่าวว่านายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ จะเป็นหัวหน้าพรรค เพื่อสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป แต่ไม่ทันเสียงปี่กลองดังก็มีการปฏิเสธว่าจะไม่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค และมีข่าวว่าจะมีการมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค
แต่ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ว่าเอาหรือไม่เอา จริงหรือไม่จริง แต่ที่จริงแท้ก็คือทั้งสองคนนี้ไม่ใช่นักการเมืองไม่ใช่นักธุรกิจ และเป็นเพียงทีมงานของนายสมคิดจาตุศรีพิทักษ์ เท่านั้น จึงถูกมองด้วยความวิตกว่าสภาพเช่นนี้จะนำทัพทางการเมืองช่วงชิงอำนาจรัฐมามอบแก่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้หรือ
เมื่อไม่มีเสียงตอบรับ ก็ปรากฏเหตุการณ์สำคัญขึ้น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งเมื่อครั้งบวชเป็นภิกษุ ได้ประกาศย้ำแล้วย้ำเล่าว่าไม่เข้าสู่ถนนทางการเมืองอีก แต่เมื่อ2 เดือนมานี้ ก็มีข่าวว่าน้องชายนายสุเทพ เทือกสุบรรณจะตั้งพรรคการเมือง เพื่อสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรี
แต่พอถึงวันจะไปยื่นจดทะเบียน ปรากฏว่านายทหารใหญ่ที่มั่นหมายจะเป็นหัวหน้าพรรคได้ถอนตัวอย่างฉับพลัน เพราะทราบว่าไม่ได้มีสัญญาณดังที่เอ่ยอ้างกัน จึงเป็นที่มาของการแถลงอีกครั้งหนึ่งว่าไม่ตั้งพรรคการเมือง
แต่เมื่อไม่มีเสียงขานรับจากสองรัฐมนตรีว่าจะออกมานำทัพทางการเมืองหรือไม่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จึงต้องประกาศจัดตั้งพรรคการเมืองอีกครั้งหนึ่ง และก็เป็นพรรคในก๊กที่สามนี้
สามก๊กทางการเมืองในประเทศไทยเกิดขึ้นแล้ว จับตาดูกันต่อไปให้ดีๆ ก็แล้วกัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี