-มายาคติเรื่องท้องถิ่นไทย ที่ว่าราชการส่วนท้องถิ่นเต็มไปด้วยการทุจริต จนเป็นเหตุให้ต้องพักงานและส่งคนของส่วนกลางไปทำหน้าที่แทนมาสองปีกว่าแล้ว หรือล่าสุดที่พยายามบอกว่ามีการทุจริตของผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดน่าน เชียงใหม่ พัทลุง อุดรฯ หนองคาย และนครสวรรค์ ที่เพิ่งมีการตัดสินลงโทษไป ดูเหมือนจะเป็นความพยายามทำให้มองว่าการเมืองท้องถิ่นเป็นเรื่องสกปรก ให้ประชาชนฟังดูแล้วเข็ดขยาดหรือพยายามบ่มเพาะกับข้าราชการส่วนภูมิภาคว่าหากให้อำนาจมากเกินไปวันหนึ่งไม่ฟังคำสั่งจากส่วนกลางจะทำอย่างไร?
ภาพมายาคติเหล่านี้ถูกผลิตซ้ำทั้งในวัฒนธรรมองค์กรข้าราชการส่วนภูมิภาคเอง และทั้งความพยายามแทรกซึมสู่ความคิดของประชาชนในท้องถิ่น แต่เอาจริงรากฐานของการถือกำเนิดการเมืองท้องถิ่นมีอะไรมากกว่านั้น ราชการส่วนภูมิภาคที่ไปอยู่ในท้องถิ่น กับราชการส่วนท้องถิ่นเองก็มีอำนาจหน้าที่ที่แตกต่างกัน เพราะราชการส่วนภูมิภาคแม้จะถูกส่งลงไปในท้องถิ่นก็มาจากส่วนกลางจะเข้าใจความต้องการของท้องถิ่นนั้นๆ ได้ดีกว่าคนในพื้นที่หรือ?
หรือหากข้าราชการส่วนภูมิภาคที่ไปอยู่ในท้องถิ่นทำงานไม่ตอบสนองประชาชน ผลของการเติบโตในหน้าที่การงานก็ไม่ได้เกิดจากความพึงพอใจของประชาชนในพื้นที่ไม่ใช่หรือ? ราชการส่วนภูมิภาคจึงเป็นเพียงแขนขาอำนาจของส่วนกลางมากกว่าเป็นแขนขาอำนาจของประชาชน?
-คำให้สัมภาษณ์ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ให้สัมภาษณ์ถึงการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นในทำนองว่า ไม่ติดขัดใดๆ เพียงแต่ให้พิจารณาถึงความพร้อมเท่านั้น การเลือกตั้งท้องถิ่นจำเป็นต้องเกิดขึ้น ซึ่งบางพื้นที่อาจจัดก่อนเลือกตั้งใหญ่ แต่ต้องพิจารณาความเหมาะสม ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่เชื่อว่าทุกคนพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง ฟังดูเหมือนว่าจะเริ่มเปิดกว้างในเรื่องนี้มาก แต่ก็ยังมีข้อสงสัยไม่น้อยถึงการปฏิบัติที่ดูจะขัดแย้งกันเองในหลายประการ ประการแรกคือ สนช. และสภาปฏิรูปทั้ง 2 ชุด กลับไม่มีการพูดถึงการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นให้มากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้นจริงหรือไม่? ที่มีข่าวว่ากฎหมายบางฉบับเปลี่ยนแปลงอำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางเรื่อง โดยให้อำนาจบางเรื่องนั้นกลับไปอยู่ในมือข้าราชการส่วนภูมิภาค ตลอดจนการใช้อำนาจพิเศษอย่างมาตรา 44 ในการแทรกแซงปรับย้าย แต่งตั้งผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งผู้บริหารเดิมที่หมดวาระลงและที่ยังไม่หมดวาระ โดยแต่งตั้งข้าราชการส่วนภูมิภาคเข้าไปทดแทน ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันไม่ได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาส่วนท้องถิ่นหรือการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นเลย ทั้งที่ความเป็นจริงนอกจากบทบาทและหน้าที่แล้วความคิดและแนวปฏิบัติของผู้บริหารท้องถิ่นก็ยังแตกต่างกับข้าราชการส่วนภูมิภาคมาก
อย่างกรณีการจัดการปัญหาโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งเกิดจากราชการส่วนภูมิภาคทั้งที่แต่เดิมมีท้องถิ่นอยู่ก็สามารถจัดการได้เรียบร้อยดี ที่ผ่านมารัฐบาลปัจจุบันก็ยังมองข้ามข้าราชการส่วนท้องถิ่นและใช้ข้าราชการส่วนภูมิภาคเข้าไปจัดการท้องถิ่นเป็นหลัก ดังนั้นนอกจากเรื่องศักยภาพแล้ว ยังมีเรื่องของมุมมองความคิด และการเข้าใจปัญหาของข้าราชการสองส่วนที่แตกต่างกันมาก
ในการนี้ไม่ได้บอกว่าข้าราชการส่วนภูมิภาคไม่ดี หรือไม่มีความจำเป็น แต่เป็นการบอกว่าทั้งสองมีอำนาจหน้าที่ที่ต่างกัน และไม่แปลกที่ข้าราชการส่วนภูมิภาคจะเป็นเช่นนั้น เพราะข้าราชการส่วนภูมิภาคไม่มีความยึดโยงกับพื้นที่ กับชุมชน ไม่เข้าใจถึงปัญหา และด้วยโครงสร้างอำนาจหน้าที่ทำให้ไม่เข้าใจปัญหาและการจัดการ ตลอดช่วงเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลใช้ราชการส่วนภูมิภาคในการขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติ โดยละเลยการเมืองท้องถิ่น จึงเริ่มเห็นปัญหาแล้วว่าข้าราชการส่วนภูมิภาคก็มีปัญหาไม่น้อยกับประชาชน บวกด้วยประเด็นยุคสมัยได้เปลี่ยนไป
อย่างกรณีของผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ที่มีการรวมตัวของประชาชนขับไล่ผู้ว่าฯมาแล้ว โดยเมื่อเจาะลึกลงไปถึงสาเหตุของปัญหา เกิดจากความไม่เข้าใจกันระหว่างข้าราชการกับประชาชน ซึ่งเรื่องเดียวกันหากเป็นการเมืองส่วนท้องถิ่นมาจัดการเรื่องนี้อาจไม่มีปัญหา หรือหากมีก็สามารถแก้ด้วยวิถีทางการเมืองท้องถิ่น เพราะผู้บริหารมาจากการเลือกของประชาชน อันรวมถึงการตรวจสอบถ่วงดุลที่เป็นระบบมากกว่า
-ประการที่สองคือความไม่ชัดเจนในการกำหนดวันเลือกตั้งท้องถิ่น และการปลดล็อกการเลือกตั้งท้องถิ่นให้สามารถมีการเลือกผู้บริหารท้องถิ่นได้ เพราะขณะนี้ผู้บริหารท้องถิ่นที่ยังคงอยู่ก็รักษาการมานานแล้ว ขณะที่บางท้องถิ่นก็มีข้าราชการไปนั่งรักษาการนานเกินไปแล้วเช่นกัน กลไกในการปกครองตลอดจนกลไกในการคานอำนาจในท้องถิ่นจึงถูกเว้นว่างมานานเกินไปแล้ว และการเลือกตั้งท้องถิ่นก็ไม่น่าจะมีผลต่อความมั่นคงอะไรของ คสช. ถือเป็นการดีอีกด้วยที่ คสช. จะได้ทดสอบแนวคิดประชาชนต่อความพร้อมในการเลือกตั้งใหญ่ในอนาคต
-ไม่นานนี้ก็พอจะมีข่าวดีอยู่บ้างอย่างเรื่องการออกกฎกระทรวงของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถสนับสนุนเงินสวัสดิการชุมชน และสามารถก่อหนี้ผูกพันได้ ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มที่ดีในเรื่องการจัดการงบประมาณของท้องถิ่นในปัจจุบัน หากแต่ยังดูครึ่งๆกลางๆ โดยแม้จะเพิ่มอำนาจในการกู้เงิน หาเงินทุน แต่สุดท้ายไม่ได้สนับสนุนให้มีความเป็นอิสระอย่างแท้จริงใช่หรือไม่? เพราะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังมีอำนาจที่จำกัดในการจัดทำบริการสาธารณะแก่ประชาชน โดยหากวิเคราะห์นโยบายรัฐบาลปัจจุบันกลับพบว่ามีบางนโยบายที่เป็นนโยบายเพื่อท้องถิ่น ที่ควรจะเป็นหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น การให้งบประชารัฐแก่ ตำบล หมู่บ้าน, กองทุนหมู่บ้าน, บัตรสวัสดิการคนจน ซึ่งที่สุดรัฐบาลก็ไม่ได้ให้อำนาจองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการบริหารจัดการ แต่กลับให้ไปอยู่ในความดูแลของราชการส่วนภูมิภาคในท้องถิ่นแทน
หรืออย่างโครงการไทยนิยมฯ ที่มีการสร้างกลไกรับฟังปัญหาที่สุดแล้วก็ไม่ได้ให้ท้องถิ่นสะท้อนปัญหาของตัวเองออกมาผ่านผู้นำชุมชนหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีอยู่แล้ว แต่กลับจัดตั้งคณะทำงานจากส่วนภูมิภาคลงไปรับฟังปัญหา วิธีการทำงานแบบระบบราชการเต็มกรอบเช่นนี้ เมื่อนำเข้าไปสนับสนุนการทำงานของท้องถิ่น จึงไม่เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่กับท้องถิ่น ไม่ว่าโครงการจะดีขนาดไหน เพราะนอกจากเนื้อหาโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อท้องถิ่นแล้ว รูปแบบการดำเนินงานก็ควรใช้วิธีของท้องถิ่นเพื่อจัดการตัวเองด้วย
-นอกจากนี้ในทางปฏิบัติ มักพบปัญหาความซ้ำซ้อนของอำนาจหน้าที่ นั่นคือราชการส่วนภูมิภาคยังคงอำนาจตัวเองไว้ซึ่งควรกระจายอำนาจไปให้ท้องถิ่นบางส่วน หากต้องการให้มีการปฏิรูปท้องถิ่นอย่างแท้จริง ควรต้องมีกลไกกระจายอำนาจ ให้ท้องถิ่นมีโอกาส และมีศักยภาพบริหารจัดการในพื้นที่ และพึ่งพาตัวเองได้ เว้นแต่ภารกิจท้องถิ่นดังกล่าวจะเป็นภารกิจที่สำคัญมาก เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้งบประมาณสูง ที่กังวลว่าท้องถิ่นบางพื้นที่ไม่มีศักยภาพในการจัดการได้ อาจให้ราชการส่วนภูมิภาคเข้าไปมีส่วนร่วมในการสนับสนุนหรือจัดการ แต่ก็ควรมีหน้าที่เพียงในเรื่องของความมั่นคง กำกับและตรวจสอบเท่านั้น ไม่ใช่เหมือนสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการผลักภาระสิ่งที่ราชการส่วนภูมิภาคไม่อยากทำ ไปให้ระดับท้องถิ่นทำแทน
-หากมองย้อนไปที่ต้นกำเนิดของการกระจายอำนาจในช่วงหลังของไทยนั้น พบว่าช่วงที่มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวคือสมัยของรัฐบาลชวน หลีกภัย ที่มีการผลักดันให้เกิด หรือมีผลต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างแท้จริง และยังมุ่งให้ท้องถิ่นมีศักยภาพในการบริหารรายได้ในกิจการต่างๆเพื่อประชาชน โดยมีการจัดแบ่งรายได้จริงจังให้ท้องถิ่นในยุคนั้น นอกเหนือไปจากการรอรับการจัดสรรงบประมาณ และภาษีมาจากส่วนกลาง
ทั้งนี้แนวคิดปฏิรูปองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบ 4 ลักษณะ ดังนี้ ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด, เทศบาล, องค์การบริหารส่วนตำบล และการปกครองรูปแบบพิเศษ โดยลักษณะเด่นก็คือมีการกระจายอำนาจ กระจายงานไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อความคล่องตัว ผ่านการตรากฎหมายกระจายอำนาจส่วนท้องถิ่น โดยกำหนดแผนงานและขั้นตอนที่ระบุอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบไว้ในกฎหมายและระเบียบอย่างชัดเจน แต่น่าเสียดายที่หลายรัฐบาลต่อมาไม่ได้ทำตามแผนดังกล่าว
-หากเปรียบประเทศเป็นร่างกาย ส่วนกลางคือสมองที่จะมีคำสั่งไปยังส่วนต่างๆ แต่เพียงแค่สมองอย่างเดียวก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ต้องพึ่งพากล้ามเนื้อแขนขาและส่วนต่างๆของร่างกายที่เหมือนราชการส่วนท้องถิ่นในการขับเคลื่อนให้มีการเคลื่อนไหวการพัฒนาต่อไป เข้าโค้งสุดท้ายของรัฐบาล คสช. ในการบริหารประเทศ จึงไม่ควรลืมภารกิจหลักนั่นคือ การปฏิรูปประเทศ ปฏิรูปการเมือง ทั้งนี้ส่วนสำคัญของการปฏิรูปการเมืองนอกจากกฎหมายก็คือการกระจายอำนาจ ที่ควรจะต้องเริ่มดำเนินการได้แล้ว และเพื่อแสดงความจริงใจดังกล่าวก็ควรจัดให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นจริงในปีนี้เสียทั้งหมด ควบคู่ไปกับการอบรมและให้ความรู้แก่ประชาชน ให้เข้าใจถึงความสำคัญของการเมืองท้องถิ่น และสิทธิ หน้าที่ของประชาชนในท้องถิ่นผ่านโครงการและกิจกรรมต่างๆ ควบคู่กันไปด้วย......
“จะมีชีวิตอยู่โดยทรงคุณค่าเป็นที่ลำบากก็จริง จะตายให้มีคุณค่ายิ่งยากเข็ญมากนัก”
คำคมโกวเล้งจากเรื่องเดชนกยูง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี