ไม่ว่าสังคมประเทศใดๆ จะอยู่กันได้ก็ต้องมีกฎหมายบ้านเมืองเพื่อให้ทุกคนปฏิบัติ และอยู่ร่วมกันได้ ใครละเมิดก็ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเป็นธรรมดา
โดยเฉพาะในประเทศ หรือสังคมเสรีประชาธิปไตย หลักการสำคัญยิ่งหลักหนึ่งคือ Rule of Law โดยทุกคนต้องอยู่ภายใต้ และเคารพกฎหมาย อย่างเสมอเหมือน ทัดเทียมกัน ไม่มีการเลือกปฏิบัติ ไม่มีผู้ใดมีสิทธิเหนือคนอื่น ไม่มีใครหนึ่งใดเป็นเจ้าของกฎหมาย ทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน
ตรงกันข้ามกับสังคมคอมมิวนิสต์ หรือเผด็จการ ซึ่งมีกลุ่มคนกลุ่มเดียวที่ทำตัวเป็นเจ้าของกฎหมาย และอยู่เหนือผู้อื่น เสมือนว่ามีผู้บงการ และผู้ถูกบงการ ทำให้กฎหมาย กฎเกณฑ์บ้านเมืองจึงเป็นแค่เครื่องมือเพื่อบังคับประชาชน อีกทั้งผู้บงการสามารถเป็นผู้อยู่เหนือกฎหมาย เพราะทำตัวเป็นตัวกฎหมายเสียเอง
สังคมไทยในช่วงระยะเวลา 85-86 ปีที่ผ่านมา ก็สลับกันไปมาระหว่างการมีกฎหมายแห่งความทัดเทียมกันของผู้คน กับการมีผู้บงการตั้งกฎเกณฑ์ให้ประชาชนพลเมืองอยู่ใต้อาณัติ แต่กฎหมาย กฎเกณฑ์บ้านเมืองภายใต้รูปแบบโครงสร้างทางการเมืองแบบเสรีประชาธิปไตย หรือแบบเผด็จการก็อย่างหนึ่ง เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาก็เรื่องหนึ่ง แต่จนแล้วจนรอด สังคมไทยก็ยังเป็นสังคมที่มีความมุ่งหวังจะได้เห็นการเป็นเสรีประชาธิปไตยอย่างมั่นคงถาวร
แต่อีกเรื่องหนึ่งที่กัดเซาะเสถียรภาพของสังคมอย่างสูง ไม่ว่าจะเป็นในระบอบเสรีประชาธิปไตย หรือเผด็จการ ก็คือ การยึดเอาความสัมพันธ์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง (Personal Relationship) มากกว่าที่จะเอากฎหมาย กฎเกณฑ์ เป็นที่ตั้ง (Impersonal Relationship หรือ Rule based)
คงไม่แปลกใจที่เราคนไทยมักจะได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็น ได้ประสบว่า แม้ว่าจะมีกฎเกณฑ์ กติกาแน่ชัดอย่างไร ในสังคมไทยก็ยังมีการหลบหลีก หลีกเลี่ยง อ้อมไปได้ด้วยการใช้ความรู้จักมักจี่ หรือด้วยความสัมพันธ์ส่วนตัว เป็นเพื่อนซี้ เป็นพรรคพวกเดียวกัน เป็นเครือข่ายกันแล้วก็สามารถบรรเทา ลดหย่อนกฎเกณฑ์ไปได้ จนถึงขั้นผู้พิทักษ์กฎหมายสามารถตบแต่งคดีเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพราะเป็นพรรคพวกกัน
แม้ว่าในกรณีที่ไม่มีเรื่องไม่ชอบมาพากล แต่การทำงานร่วมกันในสังคมไทย ก็ยังคงตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเอาความสัมพันธ์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง และการพินิจพิจารณาเรื่องใดด้วยเหตุด้วยผล เช่น การเลื่อนตำแหน่ง การให้งาน ที่มีกติกา กฎเกณฑ์ ก็ดันถูกหันเห หรือตีความให้เป็นเรื่องส่วนตัวไปเสียหมด กลายเป็นเรื่องความชอบความพึงพอใจ หรือแกล้งไม่ชอบ แทนที่จะไตร่ตรองว่า เรื่องต่างๆ นั้นชอบด้วยกฎหมาย ชอบ
ด้วยธรรม มีประโยชน์แก่ส่วนรวมแค่ไหน
เมื่อการดำเนินกิจการบ้านเมืองดันมิได้ขึ้นกับกฎหมาย เพราะถูกเอาความสัมพันธ์ส่วนตัวมาทดแทนเสียแล้ว กฎหมายก็เลยขาดความศักดิ์สิทธิ์ และทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติ เกิดความเหลื่อมล้ำก็เกิดขึ้นในสังคมไปโดยปริยาย
การบ้านของสังคมไทยและของเราคนไทยทุกคนอีกเรื่องหนึ่งในวันนี้ จึงเป็นเรื่องของการสลัดออกซึ่งการตั้งอยู่บนความสัมพันธ์ส่วนตัว เพื่อก้าวไปสู่ความสัมพันธ์ที่อยู่บนพื้นฐานของกฎหมาย หรือมีกฎหมายเป็นบรรทัดฐานเป็นที่ตั้ง (และจะต้องเพิ่มเติมไปยังการตั้งอยู่บนศีลธรรม ในกรณีที่กฎหมายมิได้ระบุเอาไว้) ซึ่งจะส่งผลให้การเล่นพรรคเล่นพวกหมดไปจากสังคมไทย แล้วเมื่อนั้น ความเสมอภาค ความทัดเทียม ความยุติธรรมจึงจะเกิดขึ้น เป็นสังคมยุติธรรม เนื่องจากมีมาตรฐานกลางที่ทุกคนปฏิบัติเช่นเดียวกัน และได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน
งานการบ้านเมืองจึงจะถือวิสาสะให้เป็นเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวไม่ได้ หรือจะเอาความสัมพันธ์ส่วนตัวเข้าไปเกี่ยวข้องก็จะทำให้สังคมวุ่นวายไปกันใหญ่
สังคมไทยจะพัฒนาก้าวไปเป็นประเทศที่เจริญและทันสมัยได้ ก็จะต้องเพียบพร้อมไปด้วยความเป็นเสรีประชาธิปไตย ที่ประชาชนพลเมืองมีกฎหมายเป็นตัวยึด มิใช่ยอมให้บรรทัดฐานความสัมพันธ์ส่วนตัวเป็นตัวตั้ง อยู่เหนือหรือบ่อนทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย มิเช่นนั้นแล้ว ประเทศไทยเราก็คงต้องติดหล่มอยู่ในรายชื่อประเทศกำลังพัฒนาต่อไปชั่วกาล
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี