เมื่อสองเสาร์ที่แล้วมา (31 มีนาคม และ 7 เมษายน 2561) หนังสือพิมพ์แนวหน้าได้กรุณานำบทความของผม ในหัวเรื่อง “ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ เราควรจะเอาปี๊บคลุมหัวเดินกันหรือยัง” ลงติดต่อกัน 2 เสาร์ แล้วผมได้กล่าวว่า จะมาวิเคราะห์ให้ท่านเห็นว่าโรคคอร์รัปชั่นระบาดมาได้อย่างไร และกลายเป็นโรคติดต่อที่เป็นอันตรายร้ายแรงได้อย่างไร และน่าจะมีวิธีแก้ได้อย่างไร
ความจริงทุกท่าน ทุกรัฐบาล ก็รู้ดีอยู่แล้วว่า มีวิธีแก้ก็อยู่ที่
- การสร้างความสำนึกในความรับผิดชอบ ของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐให้มากขึ้น
- การสร้างศีลธรรมและจริยธรรม ในหมู่ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งของประชาชนชาวไทยเป็นส่วนรวม ให้ดีขึ้น
- การเขียนกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และบทกำหนดโทษให้รุนแรงมากขึ้น
- การบังคับใช้และการลงโทษโดยเสมอหน้ากัน ไม่มีลูบหน้าปะจมูก หรือ คุกมีไว้สำหรับคนจน วินัยข้าราชการมีไว้ใช้กับผู้น้อย
- การเพิ่มเงินเดือนและผลตอบแทน ให้แก่ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐให้เพียงพอ (เท่าไหร่จึงจะพอ ?)
- และอื่นๆ อีกมากมายหลายประการ
ผมเชื่อว่าขณะนี้รัฐบาลนี้ และรัฐบาลก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นของพรรคใด ก็ทำกันมาอยู่นานแล้ว ตั้งแต่ พ.ศ.2475 ที่เราเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย แต่ก็ยังไม่เป็นผลสำเร็จ คอร์รัปชั่นกลับมีมากขึ้นทุกที โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้อำนาจบริหาร
ทุกท่านคงทราบดีอยู่แล้ว่า อำนาจสูงสุดที่เป็นของปวงชนชาวไทยนั้น ตามระบอบประชาธิปไตยมี 3 อำนาจ ได้แก่ อำนาจตุลาการ อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจบริหาร
ประชาชนทุกคนย่อมไม่สามารถจะใช้อำนาจทั้งสามด้วยตนเองได้ เราจึงต้องมอบหมายให้มีผู้มาใช้อำนาจทั้งสาม แทนพลเมืองไทยทั้ง 70 ล้านคน
จึงต้องมาพิจารณาว่า การเข้าสู่อำนาจทั้งสาม แทนพวกเราทุกคนนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร
เอาอำนาจตุลาการก่อน ซึ่งเป็นอำนาจที่รักษากฎกติกาของบ้านเมือง ให้ความเป็นธรรม และความเสมอภาค ต่อประชาชนทุกคน
ผู้ที่จะเป็นตุลาการ จะต้องจบกฎหมายปริญญาทางกฎหมาย จบเนติบัณฑิต จบปริญญาโท หรือปริญญาเอก มีความประพฤติที่ไม่มีความเสื่อมเสีย มาสอบเข้าเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษา แบ่งออกเป็น สนามใหญ่ สนามเล็ก และสนามจิ๋ว ตามหลักเกณฑ์ (Criteria) ที่ฝ่ายตุลาการเองจะได้กำหนด
ถึงแม้จะมีคนสมัครถึง 3,000 คน แต่ถ้าสอบผ่านเกณฑ์เพียง 200 คน ก็เอาเพียง 200 คนเท่านั้น ไม่เพิ่มเป็น 4-500 คน ตามที่มีตำแหน่งว่าง
จากนั้นก็เอามาอบรม มาฝึก มาสอน มารับวัฒนธรรมของฝ่ายตุลาการเสียอีก 1 ปีเต็ม จึงจะจบ ผ่านและออกไปเป็นผู้ช่วยพิพากษาในศาลต่างจังหวัด โดยผ่านการกลั่นกรอง ตรวจสอบเป็นอย่างดี จาก
คณะตุลาการพี่เลี้ยง ว่ามีความรู้ ความสามารถ มีจริยธรรม มีความประพฤติอันดี ที่จะเป็นผู้พิพากษา หรือผู้ใช้อำนาจตุลาการ ต่อไปได้
เราท่านจึงจะเห็นได้ว่า การเข้าสู่อำนาจตุลาการ มิได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่มาจากการกำหนดคุณสมบัติที่เข้มข้น การสอบคัดเลือกที่แสนยาก การตรวจสอบที่รัดกุม และการกลั่นกรองอย่างเข้มงวด จึงจะผ่านเข้ามาเป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการเบื้องต้น แทนปวงชนชาวไทยได้
จากนั้น ก็ต้องไต่เต้า จากผู้พิพากษาชั้นต้น ไปเป็นผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ และต่อไปจนถึงศาลฎีกา
ระบบเลือกตั้ง จะมาใช้ในวาระสุดท้าย เพื่อก้าวสู่อำนาจตุลาการที่สูงสุด คือ การเป็นคณะกรรมการตุลาการ หรือ กต.
ถึงจะใช้ระบบเลือกตั้ง ก็มิได้ให้ประชาชนทั่วไปมาเลือกคณะกรรมการตุลาการ และจะเลือกกันโดยฝ่ายตุลาการเอง
แยกกันมีโควตาว่า ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น จะเลือกคณะกรรมการตุลาการจากผู้พิพากษาศาลชั้นต้น ได้กี่คน
ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ จะเลือกคณะกรรมการตุลาการจากผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ได้กี่คน
ผู้พิพากษาศาลฎีกา จะเลือกคณะกรรมการตุลาการจากผู้พิพากษาศาลชั้นต้น ได้กี่คน
ตกลงผู้เลือกตั้งคณะกรรมการตุลาการ (กต.) จึงเป็นผู้พิพากษาจากศาลทั้ง 3 ระดับ เป็นองค์กรเลือกตั้ง หรือคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Body) ของอำนาจตุลาการ
ท่านผู้อ่านลองคิดดูว่า หากให้ประชาชนทั่วไปมาเป็นคณะผู้เลือกตั้งคณะกรรมการตุลาการ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น
คงจะต้องมีการหาเสียง มีการโฆษณาชวนเชื่อ มีการใช้กลยุทธ์ต่างๆ นานา (หรือวิชามาร) แบบที่ใช้กันอยู่ในการเลือกตั้ง สส. (อำนาจนิติบัญญัติ)
ดังนั้น องค์การเลือกตั้ง หรือคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral body) ของอำนาจตุลาการจึงเป็นองค์กรที่เหมาะสม และสามารถเลือกตั้งคณะกรรมการตุลาการขึ้นมาใช้อำนาจตุลาการสูงสุด (Supreme Judiciary Power) ที่ทำหน้าที่มาได้อย่างดีตลอดกาลนาน
ไม่เคยมีเรื่องเสียหาย อื้อฉาว หรือการวิ่งซื้อเสียงขายเสียง การทุจริตคอร์รัปชั่น อย่างที่มาของอำนาจอื่นอีก 2 อำนาจ ทั้งอำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจบริหาร
วันนี้ขอจบลงเพียงเท่านี้ก่อน คราวหน้าจะได้พูดกับที่มาของผู้เข้ามาใช้อำนาจนิติบัญญัติ และที่มาของผู้เข้ามาใช้อำนาจบริหาร ว่าเป็นอย่างไร จึงเป็นต้นตอของการทุจริตคอร์รัปชั่น ที่งอกงามขึ้นเรื่อยๆ จนทุกวันนี้
โดย ข้าราชการบำนาญ
(จากเสมียนถึงปลัดกระทรวง)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี