และแล้วการขับเคลื่อนทางการเมืองของก๊กที่สนับสนุนของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปหลังเลือกตั้ง ก็เปิดหน้าเปิดตาชัดขึ้นโดยลำดับ โดยล่าสุด คือการมอบตำแหน่งทางการเมือง 2 ตำแหน่ง ให้แก่พรรคพลังชล ของตระกูลคุณปลื้ม จนเป็นข่าวฮือฮา เมื่อสัปดาห์ก่อน
แต่ดูเหมือนว่ายังมีความเคอะเขินกระมิดกระเมี้ยนกันอยู่ จึงมีแต่ข่าวชี้แจงแบบอ้อมแอ้ม ที่มีแต่จะทำให้ผู้คนสงสัยมากขึ้นไปอีก
ก็เขารู้กันทั้งบ้านทั้งเมืองแล้วว่า จะมีการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาพรรคหนึ่ง ชื่อว่าพรรคประชารัฐ ซึ่งจะอิงกับนโยบายประชารัฐที่ทำกันมาระยะหนึ่งแล้ว และในวงการก็รู้กันว่า คนที่เป็น
หัวเรี่ยวหัวแรงคือ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ก็น่าจะเปิดตัวเปิดหน้าให้ชัดเจน เพราะไหนๆ ก็จะทำกันอยู่แล้ว จะทำการเมืองให้เป็นเรื่องมุบมิบเพื่อประโยชน์สิ่งใด
แต่ก็เข้าใจได้ว่าเพราะรักตนถนอมตัวระดับสูง ดังนั้นพอสื่อเริ่มโหมข่าวเรื่องพรรคประชารัฐ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก็ได้ให้สัมภาษณ์ว่าจะไม่เป็นหัวหน้าพรรคนี้ ซึ่งทำให้เกิดความมึนงงมากขึ้นอีกว่า เมื่อแม่ทัพไม่เปิดหน้าออกนำทัพแล้วจะไปช่วงชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีได้อย่างไร
หลังจากนั้นก็มีการให้สัมภาษณ์ในลักษณะเปรยๆ ว่า เรื่องนี้ต้องไปถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่าเป็นคนโควตาและจนบัดนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนจากสองรัฐมนตรีนี้ว่าจะเอาอย่างไร
ในขณะที่วงการพรรคการเมืองทั้งหลาย และวงการสื่อก็โจษขานกันว่า พรรคประชารัฐจะมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหัวหน้าพรรค และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นเลขาธิการพรรค ซึ่งนอกจากมิได้มีการปฏิเสธแล้ว กิริยาการทั้งหลายก็สมคล้อยไปกับข่าวที่โจษขานกันนั้น
และแล้วข่าวคราวที่ซุบซิบกันมาระยะหนึ่งตั้งแต่เมื่อครั้งมีการพักโทษกำนันเป๊าะว่ามีการทาบทามพรรคพลังชลเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนพรรคประชารัฐก็เป็นจริงขึ้น เมื่อคณะรัฐมนตรีลงมติมอบตำแหน่งทางการเมืองให้แก่สองแกนนำของพรรคพลังชล
ทำให้ภาพลักษณ์การขับเคลื่อนทางการเมืองที่จะรวบรวมพรรคเล็กพรรคน้อยเข้ามาร่วมกับพรรคประชารัฐเพื่อสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ชัดเจนขึ้น ซึ่งการขับเคลื่อนลักษณะนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเคยมีรูปแบบหรือโมเดลมาก่อนหน้านี้แล้ว
นั่นคือการจัดตั้งพรรคสามัคคีธรรมเพื่อสืบทอดอำนาจของหัวหน้า รสช. โดยรวบรวมนักการเมืองเก่าเข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อน และประสานพรรคเล็กพรรคน้อยเข้ามาเป็นพวก จนสามารถรวบรวมคะแนนเสียงเป็นข้างมากได้ แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถทำให้หัวหน้า รสช. เป็นนายกรัฐมนตรีได้ เพราะประชาชนไม่ยอมรับ
ในที่สุดก็มีการเตรียมเสนอชื่อคนขับเคลื่อนพรรคสามัคคีธรรม คือ พล.อ.อ.สมบูรณ์ ระหงษ์ เพื่อเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ในที่สุดเหตุการณ์ก็พลิกผันอีก เพราะเมื่อถึงชั้นโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ประธานสภาก็นำชื่อ นายอานันท์ ปันยารชุน ขึ้นกราบบังคมทูลฯ เพื่อโปรดเกล้าฯเป็นนายกรัฐมนตรี
โมเดลสามัคคีธรรมจึงพังครืนลงไปและหายสาบสูญไปหลายสิบปี จนกระทั่งมาปรากฏขึ้นอีกครั้งหนึ่งในช่วงนี้
ดังนั้นรูปแบบหรือโมเดลพรรคสามัคคีธรรมในอดีต เมื่อหมุนเวียนปรากฏขึ้นอีกครั้งหนึ่งก็ต้องศึกษาดูบทเรียนจากอดีตไว้ให้จงดี อย่างน้อยก็สองบทเรียน คือพรรคสามัคคีธรรมไม่สามารถทำให้หัวหน้า รสช. สืบทอดอำนาจต่อไปได้ แม้ได้เป็นนายกรัฐมนตรีก็เกิดการนองเลือด และต้องลาออกเพียงระยะเวลาแค่ 45 วัน
และบทเรียนที่สองก็คือตาอยู่ซึ่งเป็นผู้ขับเคลื่อนพรรคและหมายมั่นปั้นมืออย่างเงียบๆ ก็ไม่สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้
จับตาดูกันให้ดีว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหรือไม่อย่างไร?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี