การประมูลรถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน ของ ขสมก. ครั้งล่าสุด ที่ทำสัญญากับกลุ่มร่วมทำงาน บริษัท ช.ทวี จำกัด (มหาชน) ร่วมกับบริษัท สแกนอินเตอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งปัจจุบัน รับรถเมล์เอ็นจีวีมาวิ่งแล้ว 100 คันนั้น เป็นการประมูลครั้งที่ 8
แต่ดูอาการแล้ว น่าจะจบไม่สวยเท่าไหร่
1. ปัจจุบัน บอร์ด ขสมก. ชุดที่ดำเนินการเรื่องนี้ ทยอยลาออกไปหลายคนแล้ว
เริ่มจากประธาน แล้วก็กรรมการอีก 3-4 คน
ตอนนี้ น่าจะเหลือบอร์ดอยู่แค่ 4 คน
คงต้องให้ ขสมก.แจงข้อเท็จจริงว่า จริงๆ เหลืออยู่กี่คน แล้วทำไมเหลืออยู่เท่านี้?
2. ในคำสั่งศาลปกครองกลางที่ออกมาก่อนจะมีคำพิพากษา มิให้ ขสมก.นำมติการประชุมบอร์ด 2 ครั้งสำคัญ คือ ครั้งที่อ้างมีมติให้ทำสัญญากับกลุ่มร่วมทำงาน และครั้งที่อ้างว่ามีมติรับรองรายงานการประชุมครั้งนั้นด้วย โดยศาลชี้ว่า จากการไต่สวนพยานบุคคล ตรวจสอบเอกสารแล้ว พบว่า น่าจะไม่ชอบ
ทั้งในรายละเอียดยังระบุด้วยว่า การประชุมที่อ้างว่าบอร์ดมีมติอนุมัติให้ทำสัญญานั้น ไม่มีการลงมติให้เข้าทำสัญญาแต่อย่างใด แถมยังมีบอร์ดหลายท่านตั้งคำถามหลายประเด็นเกี่ยวกับการดำเนินการประมูล ทั้งการกำหนดเวลากระชั้นจนไม่มีรายอื่นเสนอราคาแข่งขัน รวมไปถึงราคาที่ตกลงกับเอกชนนั้นคุ้มค่าหรือไม่ อย่างไร? ซึ่งยังไม่มีคำตอบในการประชุมครั้งนั้น
อีกทั้ง การประชุมอีกครั้งที่อ้างว่ารับรองรายงานการประชุมนั้น ก็พบว่า มีบอร์ดเข้าประชุมแค่ 6 ราย ในจำนวนนี้ 3 รายมีมติไม่เห็นชอบด้วยซ้ำ
3. การทำสัญญาครั้งนี้ มูลค่า 4 พันล้านบาทเศษ
เกินกว่า 100 ล้านบาท
เพราะฉะนั้น ขสมก.จะต้องได้รับความเห็นชอบจากบอร์ด จึงจะทำสัญญากับเอกชนได้
ดังนั้น หากว่าบอร์ดยังไม่มีมติอนุมัติให้เข้าไปทำสัญญา แต่ดันผ่าไปเซ็นสัญญา อะไรจะเกิดขึ้น?
แถมเป็นการเซ็นสัญญากับกลุ่มเอกชน ในราคาที่สูงกว่าระดับราคากลางที่ประกาศออกมาตอนแรกเสียด้วย
4. หลายคนอาจจะสงสัยว่า ในการจัดการรถเมล์เอ็นจีวี 489 คันของ ขสมก.รอบนี้ มันมีอะไรลึกๆ หรือเปล่า? ถึงได้เกิดอะไรทำนองนี้
ทำไมจึงมีความพยายามให้ ช.ทวี ร่วมกับ สแกนอินเตอร์ เป็นผู้ชนะการประมูล ทั้งๆ ที่ เสนอราคาสูงกว่าราคากลางถึง 240 ล้านบาท
ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้เขียนถึง “เบื้องลึกประมูลรถเมล์เอ็นจีวีฯ” ลงในเฟซบุ๊คหลายตอน และยังจั่วหัวถึง “ไอ้โม่งฯ” แถมเรียกร้องให้รัฐมนตรีคมนาคมสอบสวนหาความจริง
ขออนุญาตเก็บประเด็นสำคัญ ที่สะท้อนถึงความแปลกประหลาดในการจัดการถเมล์เอ็นจีวีครั้งนี้ ดังนี้
(1) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีอำนาจตามมาตรา 12 แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ พ.ศ.2519 ที่จะเรียกประธานกรรมการ ผู้อำนวยการ ขสมก. พนักงานหรือลูกจ้างมาชี้แจงข้อเท็จจริง หรือตั้งกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงตามที่สื่อมวลชนเสนอข่าวและมีการร้องเรียนว่าการประมูลครั้งที่ 8 เป็นการประมูลที่ไม่โปร่งใส แต่ รมว.คมนาคมได้ใช้อำนาจนี้แล้วหรือไม่ หากยังไม่ได้ใช้ ถามว่าทำไมจึงปล่อยให้เป็นข้อกังขาของสาธารณชน
(2) ทำไมจึงมีการเชิญชวนให้บริษัทเข้าร่วมประมูลโดยกำหนดให้ยื่นเอกสารภายในระยะเวลาสั้นๆ หากบริษัทใดไม่รู้ข้อมูลล่วงหน้ามาก่อนก็ไม่สามารถเตรียมเอกสารได้ทัน กล่าวคือ ขสมก.ได้มีหนังสือเชิญชวนบริษัทรอบแรก 7 บริษัท เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2560 โดยกำหนดให้ยื่นเอกสารในวันที่ 7 ธันวาคม 2560 ทำให้มีเวลาเตรียมเอกสารจำนวนมากทั้งเอกสารด้านคุณสมบัติของบริษัท เอกสารด้านเทคนิคและด้านราคาเพียง 10 วันทำการเท่านั้น อนึ่ง ในการเชิญรอบแรกนั้นปรากฏว่ามี ช.ทวี รวมอยู่ด้วย
เหตุใด ขสมก.จึงเชิญชวนบริษัทเพิ่มเติมรอบที่ 2 อีกจำนวน 4 บริษัท เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2560 โดยกำหนดให้ยื่นเอกสารในวันที่ 7 ธันวาคม 2560 เหมือนเดิม ทำให้มีเวลาเตรียมเอกสารจำนวนมากเพียง 3 วันทำการเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถเตรียมเอกสารจำนวนมากได้ทันแน่หากไม่จับมือร่วมทำงานกับบริษัทที่ได้รับเชิญรอบแรก
อนึ่ง ในการเชิญรอบที่ 2 นั้นปรากฏว่า มีสแกนอินเตอร์ รวมอยู่ด้วย
(3) อะไรทำให้ ช.ทวีซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับเชิญในรอบแรกและเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์ในการให้บริการรถโดยสารต้องยอมจับมือกับ สแกนอินเตอร์ ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับเชิญในรอบที่ 2 ตั้งเป็นกลุ่มร่วมทำงานยื่นข้อเสนอให้
ขสมก.คัดเลือก
ที่น่าแปลกมากก็คือ มี 2 บริษัทนี้เท่านั้นที่เสนอตัวเข้าร่วมประมูล จากจำนวนบริษัทที่ได้รับเชิญทั้งหมด 11 บริษัท แต่บริษัททั้งสองนี้ไม่ได้แข่งขันกันเพราะได้จับมือกันตั้งเป็นกลุ่มร่วมทำงาน เสมือนเป็นบริษัทเดียว
หาก 2 บริษัทนี้ไม่จับมือกันตั้งเป็นกลุ่มร่วมทำงาน แต่แข่งขันกัน ก็เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า ช.ทวี จะเป็นผู้ชนะ เพราะมีความพร้อมและประสบการณ์มากกว่า และที่สำคัญ เคยร่วมประมูลโครงการนี้มาก่อนแล้ว
ทำไม ช.ทวี จึงยอมให้ สแกนอินเตอร์เข้าร่วมด้วย ซึ่งเป็นการแบ่งกำไรให้สแกนอินเตอร์ จากการที่สแกนอินเตอร์สามารถเข้าร่วมกลุ่มกับ ช.ทวี ได้ จึงน่าจะเป็นคำตอบได้ว่าเหตุใดจึงมีการเชิญ สแกนอินเตอร์ในรอบที่ 2 ให้เข้าร่วมประมูลด้วย ส่วนบริษัทอื่นที่ได้รับเชิญไม่เข้าร่วมประ มูลด้วย ทราบมาว่าเป็นเพราะไม่สามารถเตรียมเอกสารจำนวนมากได้ทันเวลา
(4) ทำไมกรรมการ ขสมก.บางคน จึงมีความพยายามที่จะให้ ขสมก.ทำสัญญาซื้อรถและซ่อมบำรุงกับ ช.ทวี ร่วมกับ สแกนอินเตอร์ ทั้งๆ ที่กลุ่มนี้เสนอราคาสูงกว่าราคากลางถึง 240 ล้านบาท และที่สำคัญ หากย้อนดูการประมูลที่ ช.ทวีเคยชนะโดยไม่ได้ร่วมกลุ่มกับ สแกนอินเตอร์ พบว่า ช.ทวี เคยเสนอราคาต่ำกว่าราคากลางโดยเสนอราคา 3,800 ล้านบาท
มาครั้งนี้ คือการประมูลครั้งที่ 8 ช.ทวี ร่วมกับ สแกนอินเตอร์ เสนอราคา
เพิ่มขึ้นเป็น 4,260 ล้านบาท ซึ่งแพงกว่าที่เคยเสนอไว้เดิมถึง 460 ล้านบาท เหตุใดจึงต้องเสนอราคาเพิ่มสูงขึ้นในขณะที่ราคากลางไม่ได้เพิ่มขึ้น
มีความจำเป็นอะไรที่ ช.ทวี ต้องร่วมกลุ่มกับ สแกนอินเตอร์ และต้องเสนอราคาแพงขึ้น เพราะหาก ช.ทวี ไม่ร่วมกลุ่มกับ สแกนอินเตอร์ โดยยื่นข้อเสนอเพียงบริษัทเดียวไม่มี สแกนอินเตอร์ มาพ่วงด้วยในราคาเดิม คือ 3,800 ล้านบาท ก็มีกำไรอยู่แล้ว
(5) หากมีการสอบสวนประเด็นดังกล่าวข้างต้นกันอย่างจริงจัง รับรองว่าจะสามารถหาตัวคนที่แฝงตัวทำงานนี้หรือ “ไอ้โม่ง” ได้แน่ และหาได้ไม่ยากด้วย ปัญหาอยู่ที่ว่าอยากจะหาหรือไม่เท่านั้น
ที่สำคัญ การไม่ยอมตั้งกรรมการสอบสวนหาตัวคนที่แฝงตัวทำงาน หรือ “ไอ้โม่ง” ในการประมูลครั้งที่ 8 ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นการประมูลที่ไม่ชอบมาพากล จะถือว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามอำนาจหน้าที่ทางกฎหมายหรือไม่ และหากปล่อยไว้แล้วมีความเสียหายเกิดขึ้น รมว.คมนาคมจะไม่ต้องรับผิดชอบได้หรือไม่?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี