ประเทศไทยน่าจะเป็นประเทศที่กฎหมายมากที่สุดในโลก แต่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังน้อยที่สุดในโลก (เมื่อเทียบกับจำนวนกฎหมายที่มี)
ถ้านับจำนวนกฎหมายที่ยังมีสภาพใช้บังคับอยู่ ประเทศไทยน่าจะได้รางวัลชนะเลิศ เพราะบางฉบับใช้เนิ่นนานมาตั้งแต่ศตวรรษที่แล้ว
หลายฉบับ บางมาตรา ล้าสมัยไปแล้ว
กลายเป็นต้นทุนและภาระของประชาชน
และยังเป็นช่องทางหรือเงื่อนไขให้เกิดการทุจริตโกงกินของเจ้าหน้าที่
1. กฎระเบียบของหน่วยงานรัฐ ยังมีระเบียบที่โลกไม่รู้ แต่จะรู้เมื่อถูกเรียกเงินจากเจ้าหน้าที่จำพวกขอใบอนุญาตที่จะดำเนินการเรื่องต่างๆ ปัจจุบัน มีอยู่กว่า 700,000 อย่าง
นั่นเพราะในบรรดากฎกระทรวงที่ออกตามกฎหมายหลักมักจะต้องขออนุญาตจากหน่วยงานรัฐ
อะไรที่ไม่จำเป็นต้องมี หากลดลงไปได้ มันคือการลดต้นทุนของประชาชน
2. เพิ่งทราบว่า ขณะนี้ รัฐบาล คสช.กำลังดำเนินการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายของประเทศไทยขนานใหญ่ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจ โดย ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยข้อมูลว่า แนวทางที่กำลังทำอยู่ อะไรจะยกเลิกได้บ้าง อะไรจะต้องลดเงื่อนไขลงไปอย่างไรบ้าง
(1) บางอัน กฎหมายหลักเลิกไปแล้ว แต่คำสั่งอธิบดียังอยู่ แบบนี้ ผิดกฎหมายด้วยซ้ำ จะต้องไล่ตรวจเพื่อยกเลิกให้หมด
(2) บางอัน มีกฎหมายรองรับ แต่มันไม่จำเป็นแล้ว เช่นการขอใบอนุญาตโรงงานผลิตชิ้นส่วนการบิน ตามกฎหมายการบินตั้งแต่ พ.ศ. 2497 บังคับว่าใครจะมาทำชิ้นส่วนการบินในประเทศไทยต้องเป็นคนไทยเท่านั้น
(3) อันไหนเป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจหรือไม่ เช่น ถ้าจะขออนุญาตทำแบบอะไรสักอย่างต้องถ่ายพิมพ์เขียว 96 ชุดมันเป็นต้นทุนขนาดไหน ทำไมไม่ทำชุดเดียว เป็นต้น
อันที่จริง ยุคประเทศไทย 4.0 มันไม่น่าจะต้องมีอะไรพวกนี้แล้ว
ทั้งหมด เห็นด้วยว่าควรเร่งแก้ไขอย่างยิ่ง
3. ทราบว่า ทางรัฐบาลจะตั้งสำนักงานขึ้นมาทำหน้าที่สะสางอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
เรียกว่า “กิโยติน”
หมายถึง การตัดทิ้ง ในข้อกำหนดที่ไม่จำเป็นแล้ว
ขอสนับสนุนให้ทำ เพราะทุกยุค เราก็จะเห็นรัฐสภาออกกฎหมายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ลองคิดดู ในยุคต่อๆ ไป ถ้าไม่กิโยตินไปเสียบ้าง ก็คงกองเป็นภูเขาเลากา ประชาชนจะทำมาหากินอะไรก็ต้องติดขัดไปหมด แล้วจะไปแข่งขันกับใครเขาได้
4. รัฐบาล คสช. ควรจะเร่งดำเนินการโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน
กฎหมายออกมาแล้ว ในยุค คสช.นี่แหละ แต่การตอบสนองของหน่วยงานราชการยังด้อยอยู่
ไปติดต่อราชการหลายหน่วยงาน ยังต้องมีเอกสารบุคคล
อันที่จริง ในยุค 4.0 แค่คนตัวเป็นๆ เดินไปหาราชการ ก็น่าจะตรวจสอบได้เลยว่าเป็นใคร ฐานข้อมูลอยู่ในครอบครองของหน่วยงานรัฐทั้งนั้น ไม่ควรจะต้องเรียกร้องเอกสารส่วนบุคคลเลยด้วยซ้ำ
ยกตัวอย่าง เรื่องไปขอหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ปัจจุบัน การขอหนังสือเดินทางผู้ขอสามารถใช้บัตรประชาชนใบเดียว นับว่าดีกว่าสมัยก่อนมากซึ่งถ้าหากรัฐสามารถอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนมากขึ้นไปอีก เช่น บัตรประชาชนไม่ต้องถือมา เพราะตัวจริงมาเองอยู่แล้ว กดดูภาพในคอมพิวเตอร์ ยืนยันอัตลักษณ์ได้เลย หรือในการขอวีซ่า ทางการไทยน่าจะสามารถประสานกับสถานทูตต่างชาติเกี่ยวกับข้อมูลของประชาชนที่ไปยื่นขอ ก็น่าจะสะดวกมากขึ้น เป็นต้น
ยิ่งกว่านั้น บรรดากฎหมายใหม่ๆ ที่ออกมา รวมถึงกฎกระทรวง ประกาศทั้งหลาย ก็ควรลดเงื่อนไขประเภทที่ให้ประชาชนจะต้องไปขออนุญาตลงไปเสียด้วย มิฉะนั้น ก็จะมีเงื่อนไขเพิ่มขึ้นทุกวันๆ เช่น ครอบครองสัตว์เลี้ยง ครอบครองอะไรต่อมิอะไรที่รัฐไม่จำเป็นต้องไปรู้กับชาวบ้านก็ได้ เพราะถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา ก็สามารถสอบสวนดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบได้อยู่แล้ว
นายกฯ ลุงตู่ควรตระหนัก... การสะสาง ลดขั้นตอนและจำนวนเรื่องที่ต้องขออนุญาต จะช่วยให้ประชาชนสัมผัสได้จริงถึงรูปธรรมการเปลี่ยนแปลง โดยไม่ต้องเสียเวลาไปจัดอีเว้นท์โฆษณาใหญ่โต เพราะประชาชนจะบอกปากต่อปาก และเปรียบเทียบกันได้เองในชีวิตประจำวันว่า ยุค คสช.กับยุคก่อนนี้ มันมีอะไรสะดวก รวดเร็ว และดีขึ้นจับต้องได้จริงๆ บ้าง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี