เมื่อวันที่ 24 เม.ย 2561 นายจรูญ วรรณกสิณานนท์ อ้างว่าเป็นตัวแทนกลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน เดินทางไปร้องทุกข์กล่าวโทษต่อกองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) เพื่อดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.พงศ์พรพราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (ผอ.พศ.) ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มาตรา 157
นับเป็นข้อกล่าวหาร้ายแรงมาก
อ้างว่า พ.ต.ท.พงศ์พร ปฏิบัตินอกเหนืออำนาจหน้าที่ในตำแหน่ง ผอ.พศ. กรณีไปร้องทุกข์กล่าวโทษพระชั้นผู้ใหญ่ในคดีทุจริตเงินอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม
นอกจากนี้ ยังเดินทางไปสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ปลด พ.ต.ท.พงศ์พรออกจากตำแหน่ง ผอ.พศ. และยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้ตรวจสอบ พ.ต.ท.พงศ์พรด้วย
1. ข้อเท็จจริงปรากฏว่า พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.พศ. ได้เข้าไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษคดีทุจริตเงินทอนวัด ลอต 3 จำนวนรวม 10 วัด มีทั้งข้าราชการ พลเรือน และพระสงฆ์
ในจำนวนนี้ มีพระชั้นผู้ใหญ่ 5 รูป เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย 1. พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดสามพระยา กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร 2. พระพรหมเมธี (จำนงค์ ธมฺมจารี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม กรรมการ มส. และเจ้าคณะภาค 4 - 7 3. พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กรรมการ มส. และเจ้าคณะภาค 10 4. พระเมธีสุทธิกร (สังคม ญาณวฑฺฒโน) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ และ 5. พระวิจิตรธรรมาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ
เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายปกติ
เมื่อพนักงานสอบสวนได้รวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริง พบว่า เกิดการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่งบประมาณแผ่นดิน ภายใต้การดำเนินการของสำนักงานพระพุทธศาสนา (พศ.) นั่นคือการทุจริตงบการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา แผนกธรรม และแผนกบาลี และงบเผยแพร่ศาสนา ตัว ผอ.พศ.ในฐานะผู้บริหาร พศ. ย่อมมีหน้าที่จะต้องไปร้องทุกข์กล่าวโทษ ในฐานะผู้เสียหาย
หาก ผอ.พศ.ไม่ไปแจ้งความร้องทุกข์ นั่นต่างหากที่อาจจะเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
ส่วนผู้เกี่ยวข้อง ทั้งพระ ทั้งข้าราชการ ในกรณีเหล่านี้ ก็ยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะยังไม่ได้มีการพิพากษาศาลยุติธรรม ยังไม่ได้ยื่นฟ้องศาลด้วยซ้ำ
2.น่าสงสัยว่า ผู้ที่ไปยื่นให้เอาผิด ผอ.พศ.คนปัจจุบัน ทำไมไม่เดือดร้อนกับกรณีอดีต ผอ.พศ.ที่ร่วมทุจริตเงินอุดหนุนวัดมหาศาล อย่างเป็นขบวนการ โดยต่อเนื่อง
ถึงขนาดถูกยึดอายัดทรัพย์ไปแล้วหลายรายการด้วย
การอ้างว่า พระชั้นผู้ใหญ่ไม่เกี่ยวข้อง นั่นเป็นประเด็นที่จะต้องเอาข้อเท็จจริงไปต่อสู้หักล้างตามกระบวนการยุติธรรม มิใช่จะมาตัดตอน ห้ามดำเนินคดีพระสงฆ์ตามกฎหมายแต่อย่างใด
ดูอย่างอดีตเจ้าอาวาสวัดลาดแค อดีตเจ้าคณะอำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์ ก็ยังถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย แล้วทำไมพระรูปอื่นจะถูกดำเนินคดีไม่ได้?
ยังมิได้หมายความว่า จะต้องมีความผิดเสมอไป ยังสามารถไปต่อสู้คดีตามขั้นตอน
กลุ่มที่อ้างว่า เป็นชาวพุทธสมควรที่จะช่วยกันกำจัดเหลือบของพระพุทธศาสนา ช่วยปกป้องการใช้จ่ายเงินแผ่นดินให้เป็นไปอย่างถูกต้อง ตามกฎหมาย เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่พระพุทธศาสนาส่วนรวม มิใช่ถูกนำไปใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ส่วนตนของผู้ใดโดยมิชอบด้วยกฎหมาย มิใช่หรือ?
3. น่าสังเกตว่า นายจรูญ วรรณกสิณานนท์ เคยปรากฏเป็นข่าวในการเคลื่อนไหวหลายครั้งก่อนหน้านี้
มีทั้งประเด็นที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลาม โจมตรีการออกตราฮาลาล
และยังเคยมีข่าวว่า ทำหนังสือถึง ผบ.ตร. ปกป้องพระสงฆ์ที่รับเงินจากญาติโยม เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2560
อ้างว่า พระวินัยเป็นเรื่องของสงฆ์ แม้จะมีภิกษุประพฤติผิดพระวินัย พระสงฆ์ด้วยกันเองเท่านั้นจึงมีสิทธิ์ลงโทษพระสงฆ์ด้วยกันเอง ไม่เกี่ยวกับชาวบ้าน
อ้างว่า พระวินัยเรื่องห้ามพระสงฆ์รับเงินรับทองนั้นมีอยู่จริง แต่พระพุทธเจ้าผู้ทรงทราบความจริงของโลกว่า ตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ทรงรู้ว่าพระวินัยที่บัญญัติแล้วจะเป็นอุปสรรคต่อความเป็นอยู่ของสาวกในอนาคต ตอนใกล้ปรินิพพานพระองค์จึงตรัสแก่เหล่าพระสาวกว่า ต่อไปภายหน้า หากจะมีพระวินัยสิกขาบทใดเป็นอุปสรรคต่อการดำรงเพศสมณะ ก็ให้ถอนข้อนั้นได้
อ้างว่า การห้ามพระรับเงินรับทองนั้น มีโทษมากกว่าการรับเสียอีกเพราะทำให้พระสงฆ์ไม่สามารถดำรงชีพในภาวะปัจจุบันได้ และจะเป็นมูลเหตุให้พระสงฆ์หมดไปจากโลกนี้ในเร็วขึ้น เมื่อพระสงฆ์สิ้นไป แสงสว่างแห่งธรรมย่อมดับไปด้วย ฯลฯ
4. ประการสำคัญ ใครก็ตามที่เคลื่อนไหวโดยมีเจตนากลั่นแกล้งเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย โดยเจตนาแอบแฝงใดๆ ก็ตาม สมควรจะตระหนักถึงกรณีศึกษาว่า การไปศาลยุติธรรมหรือการไปแจ้งความร้องทุกข์ก็ตาม จะต้องไปด้วยมือสะอาด
กรณีศึกษา เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ศาลแขวงดอนเมือง พิพากษาจำคุกนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ 8 เดือน ข้อหาแจ้งเท็จกล่าวหาว่า นายวัชระ เพชรทอง และนายศุภชัย ศรีหล้า สส.พรรคประชาธิปัตย์ แทรกแซงดีเอสไอเรื่องชายชุดดำ
คดีดังกล่าว ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า นายวัชระเป็นรองประธาน กมธ.ขณะนั้น เรียกนายธาริตไปชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีชายชุดดำ ต่อมาวันที่ 18 มี.ค.2556 นายเรืองไกรได้มีหนังสือถึง กกต.ว่านายวัชระเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของนายธาริตขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ จากนั้นได้ให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงาน กกต. และคณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงของ กกต.
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายวัชระและนายศุภชัยได้ทำหนังสือเชิญถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย แต่นายเรืองไกรไม่มีพยานหลักฐานมานำสืบแก้ให้เห็นว่านายวัชระจงใจก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของนายธาริตอย่างไร พยานนายวัชระจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ประกอบกับนายเรืองไกรได้ให้การต่อ กกต.ยืนยันข้อเท็จจริงประสงค์ให้ กกต.พิจารณาว่านายวัชระจงใจก้าวก่ายเกินเลยมากกว่าการแสดงความคิดเห็นท้วงติงและการคาดคะเนส่วนตัว
“จำเลยที่ 1 เคยเป็น สว.มาก่อน ย่อมทราบกระบวนการแสวงหาข้อเท็จจริง ประกอบกับจำเลยที่ 1 ไม่มีส่วนได้เสียใดๆ การใช้สิทธิของต้องไม่เกินเลยขอบเขตกฎหมาย จึงไม่ได้รับการคุ้มครอง พยานหลักฐานจำเลยที่ 1 ไม่อาจหักล้างพยานโจทก์ได้ เป็นการให้ข้อความอันเป็นเท็จในเอกสารราชการ จึงผิดตามฟ้อง”
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 และ 267 ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ และให้เจ้าพนักงานจดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุดฐานให้เจ้าพนักงานจดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ จำคุก 1 ปี แต่ทางนำสืบเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 8 เดือน
ต่อมานายเรืองไกรได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสด 1 แสนบาท ขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ โดยศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ประกันตัวไปโดยไม่ได้กำหนดเงื่อนไขใดๆ
ระวังไว้เถิด ใครจะเที่ยวไปกล่าวหาใครซี้ซั้วทีเดียวเชียว
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี