วันนี้ (25 เมษายน 2561) ให้บันทึกไว้ว่า เป็นวันที่ “ชุมชนชานพระนครแห่งสุดท้ายของกรุงรัตนโกสินทร์” ได้ถูกทำลายลงอย่างย่อยยับด้วย“ความไม่มีใจ” ของผู้มีอำนาจทุกระดับ และความตื้นเขินของสังคมที่มองชุมชนหลังป้อมมหากาฬเป็นแค่ชุมชนแออัด สกปรก ไม่ปลอดภัย
วันนี้ (25 เมษายน 2561) เป็นวันที่ประชาชนซึ่งอยู่อาศัยในพื้นที่แห่งนี้ และต่อสู้อย่างสร้างสรรค์มานานถึง 25 ปี ต้องย้ายออกจากพื้นที่ทั้งหมด!! และกรุงเทพมหานครจะเข้ารื้อย้าย ดำเนินการตามโครงการปรับปรุงพื้นที่บริเวณป้อมมหากาฬ เพื่อจัดทำเป็นสวนสาธารณะและอนุรักษ์โบราณสถานของชาติ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาเกาะรัตนโกสินทร์ ทำให้ต้องรื้อถอนบ้านเรือนทั้งหมด 64 บนพื้นที่ประมาณ 4 ไร่ 300 ตารางวา ตามกฎหมายเวนคืนที่ดินเมื่อปี 2535 แล้วพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวเป็นสวนสาธารณะและแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาชื่นชมความสวยงามของเมือง
คำว่า “ชุมชนชานพระนครแห่งสุดท้าย” ช่างไร้ค่า ในสายตาของคนร่วมชาติ ของผู้มีอำนาจ ในยุค “ตื่นไทย” แต่ไร้ปัญญา
ในเวลาที่รัฐบาลและ กทม. ทุ่มงบประมาณจำนวนไม่น้อย จัดงานฉลอง “236 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” หนึ่งในกิจกรรมฉลองนั้น ก็คือการปิดตำนาน “ชุมชนชานพระนครแห่งสุดท้ายของกรุงรัตนโกสินทร์” ลงไปด้วย นับว่าอกตัญญูต่อชาติบ้านเมืองเป็นอย่างยิ่ง
ในเวลาที่ประชาชนคนไทย พร้อมใจกันแต่งกายย้อนยุค เดินถ่ายรูปทั่วบ้านทั่วเมือง แล้วแอ่นอกภาคภูมิว่า นี่แหละหนา การอนุรักษ์มรดกไทยการสะท้อนความภาคภูมิใจในความเป็นชาติ ชุมชนหนึ่งซึ่งอธิบายพัฒนาการของการ “ตั้งหลักแหล่ง” แบบ “ชุมชนชานพระนคร”ถูกทำลายย่อยยับ! ถูก “เสือกไส” ออกจากพื้นที่ประวัติศาสตร์ เพื่อรอการจัดทำเป็นสวนสาธารณะและพิพิธภัณฑ์ไร้ชีวิต
ประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต มีค่าน้อยกว่าประวัติศาสตร์ดัดจริต ฉาบฉวย และจอมปลอม!
21 เมษายน 2561 กิจกรรมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ 236 ปีถูกจัดขึ้นอย่างเอิกเกริกในหลายพื้นที่ ต่อเนื่องนานนับสัปดาห์ ในเวลาเดียวกัน ห่างมาจากบริเวณงานแค่ไม่กี่เมตร ในวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมาชาวชุมชนป้อมมหากาฬที่ยังอาศัยอยู่ 13 หลังคาเรือนสุดท้ายรวมตัวกันเพื่อจัดงานอำลาชุมชนป้อมมหากาฬ ท่ามกลางซากบ้านเรือนที่ถูกกรุงเทพมหานครรื้อไปเกือบหมดแล้ว โดยตัวแทนชาวชุมชนป้อมมหากาฬ อ่านคำแถลงพร้อมประกาศปิดชุมชนป้อมมหากาฬ ความว่า
“26 ปีของการต่อสู้ เหมือนทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เองเป็นเรื่องยากที่อธิบายได้ว่า เราเดินมาถึงวันนี้ได้อย่างไร วันที่คนชุมชนป้อมมหากาฬจำต้องเอ่ยคำเชื้อเชิญเพื่อน พี่น้อง มิตรสหาย กัลยาณมิตรทุกคนมารวมกันเป็นครั้งสุดท้าย การรวมพลเพื่ออำลาและปิดฉากชุมชนป้อมมหากาฬ พื้นที่ที่เราพยายามทำทุกทางเพื่อรักษาความเป็นชุมชนเอาไว้ ตลอดระยะเวลา 26 ปี บนเส้นทางนี้เราได้ผ่านทั้งร้อน หนาว ผ่านทุกข์และสุข ได้พบเจอมิตรสหาย กัลยาณมิตรมากมาย มีความทรงจำที่มิอาจลืมเลือนได้ มีการต่อสู้ที่มิอาจลืมลง และขณะเดียวกัน เราก็เผชิญกับการจำพราก ความขัดแย้งและความสูญเสียมากมาย เผชิญกับความเจ็บปวดและอ่อนแอภายในตัวตนของเราเอง สูญเสียมากมาย เผชิญกับแรงเสียดทานที่โถมทับเข้ามาจนเราไม่อาจต้านทานได้อีก และท้ายที่สุด เราจะต้องเผชิญกับความจริงที่ว่าวันหนึ่งข้างหน้า ชุมชนป้อมมหากาฬอาจเป็นเพียงชื่อเรียกขาน เป็นเพียงเรื่องเล่าบอกต่อกัน ในไม่ช้าก็จะลบหายไปจากประวัติศาสตร์ชนชั้นของมหานครแห่งนี้
มันช่างยากเหลือเกินที่เราจะอธิบายความรู้สึก อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ด้วยตัวอักษรเพียงไม่กี่ประโยค ไม่กี่ย่อหน้า และหวังไปว่ามันจะสามารถสื่อสารให้ทุกคนเข้าใจได้ว่าเราเดินมาถึงวันนี้ได้อย่างไร วันนี้เราเจ็บปวด เราจะพยายามเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดนี้ด้วยความหวัง เพราะเป็นเช่นนี้ ในช่วงเวลาสุดท้ายเราจึงอยากบอกเล่าเรื่องราวนี้แก่ทุกคน อยากจะทำให้ชุมชนป้อมมหากาฬได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งที่หวังเหลือเกินว่า ทุกคนที่มีความผูกพันกับพื้นที่แห่งนี้จะมาร่วมกันบันทึกเรื่องราว สร้างความทรงจำครั้งสุดท้ายบนผืนที่แห่งนี้ ในสถานะพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 เม.ย. 2561 นี้
ก่อนที่พวกเราจะเก็บความทรงจำเหล่านี้ไว้บอกกับลูกหลานสืบไปว่าครั้งหนึ่งในชีวิตพวกเรา ชาวชุมชนป้อมมหากาฬได้ต่อสู้กับหน่วยงานภาครัฐที่ไม่ได้ให้ความเป็นธรรมกับชุมชน เราสู้เรื่องกฎหมายไม่ได้แน่นอน วันหนึ่งเราจึงต้องจากไป เราอยากให้เรื่องชุมชนป้อมมหากาฬเป็นกรณีศึกษา ในครั้งต่อไปถ้าหน่วยงานภาครัฐจะไล่รื้อชุมชนใดก็แล้วแต่ ก็คงตระหนักถึงชุมชนป้อมมหากาฬว่าพวกเขามีวิถีชีวิตและต่อสู้มายาวนานขนาดไหน สิ่งเหล่านี้จะบอกกับสังคมได้ว่า ชีวิตคนหรือว่าวัตถุกันแน่ที่สำคัญ การที่คุณทำให้ชุมชนต้องล่มสลาย ต้องกระจัดกระจาย ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างไร้ที่อยู่ สุดท้ายแล้วพวกคุณได้ตามดูชีวิตพวกเขาเหล่านั้นหรือเปล่า”
การรื้อทำลาย “ชุมชนหลังป้อมมหากาฬ” เกิดขึ้นบนคำว่า “เป็นไปตามกฎหมาย” ใช่ ไม่ผิดเลย
การรื้อทำลาย “ชุมชนหลังป้อมมหากาฬ” เกิดขึ้นบนคำว่า “หากไม่ทำเราจะถูกดำเนินการฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่” อ้างว่ามีการเวนคืนนานแล้ว แต่ยังนำพื้นที่มาไม่ได้สักที
การรื้อทำลาย “ชุมชนหลังป้อมมหากาฬ” เกิดขึ้นบนคำว่า “ออกไปเสียก็ดี เราต้องการพื้นที่สาธารณะ” ของประชาชนส่วนมาก
ตั้งใจอ่านให้ดีๆ ต่อจากนี้คือ “คำอธิบาย” ที่ไร้ค่าแล้ว แต่แค่อยากจารึกไว้ ว่าความตื้นเขินหมางเมินของภาคประชาชน การถือในอำนาจของภาครัฐ และค่านิยมฉาบฉวยจอมปลอมอย่างทุกวันนี้ ได้ทำลายอะไรลงไป จากการรื้อทิ้งชุมชนหลัง “ป้อมมหากาฬ” โดยประธานกรรมการที่ชื่อ “ป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
1) คำว่าชุมชน “ชานพระนคร” นั้น คือชุมชนที่ตั้งรกรากอยู่บนผืนดิน ซึ่งเป็นที่ว่างระหว่างกำแพงเมืองกรุงรัตนโกสินทร์ กับคลองกูเมือง สมัยโบราณเวลาสร้างบ้านสร้างเมือง จะทำกำแพงล้อมรอบเมืองและขุดคูคลองล้อมเมือง เพื่อป้องกันข้าศึกศัตรู ที่ว่างระหว่างคูเมืองกับกำแพงเมือง เรียกว่า “ชานพระนคร” มีการจัดสรรให้ขุนนาง ข้าราชการและราษฎร ตั้งบ้านเรืออยู่ได้ เสมือนเป็น “กันชน” ในยามศึกสงคราม และช่วยดูแลพื้นที่ดังกล่าวไม่ให้รกร้างเสื่อมโทรม
2) ชานพระนครของกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ใช้งบประมาณฉลองการมีอายุครบ 236 ปี กันอยู่นี้ ไม่เหลือตรงอื่นแล้ว เหลืออยู่เฉพาะหลังป้อมมหากาฬนี้ และไม่ได้เหลืออยู่ในสภาพ “ร้างไร้ผู้คน” หากแต่มี “ชุมชน” ตั้งอยู่ เป็นชุมชนที่มีพัฒนาการการอยู่อาศัยมาตามลำดับของการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยและบ้านเมืองของเรา หากจะพูดถึง “ประวัติศาสตร์” แล้ว ทั้งบ้านเรือนและผู้คน ล้วนเป็น “หลักฐาน” ทางประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น
3) ชุมชนหลังป้อมมหากาฬนี้ มีงานวิจัยชัดเจนถึงความสืบเนื่องและ “คุณค่า” ที่นำมาพัฒนาได้ ลองไปเปิดงานวิจัยของ ดร.ชาตรี ประกิตนนทการ อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร และคณะ ดูก็ได้ ทำไว้เพราะอดีตผู้ว่าฯ กทม.ชื่อนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ต้องการให้ศึกษาว่า จะพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวให้เกิดคุณค่าที่มากกว่า “สวนสาธารณะ” ตามแผนแม่บทที่มีมาแต่เดิมได้อย่างไรบ้าง ซึ่งการวิจัยพบว่า การรักษาไว้ซึ่งชุมชน คือ บ้านเรือนและผู้คนจำนวนหนึ่งนั้น คือการสร้างสรรค์ “พิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต” ให้เกิดขึ้นคงอยู่ และใช้เป็น “แหล่งเรียนรู้” ทางประวัติศาสตร์ที่ดีมากๆ
4) ความหมายคือ ไม่ได้รักษาบ้านทุกหลัง ผู้อยู่อาศัยทุกครอบครัวเอาไว้หรอกนะ แต่ต้องมีการคัดเลือก อาคารเรือนไม้ที่มีคุณค่า และผู้อยู่อาศัยที่มีประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานตรงนั้นจริง ไม่ใช่ผู้ที่เข้ามาอยู่อาศัยในภายหลัง
5) ในภายหลัง มีสถาบันการศึกษา นักวิชาการ ศิลปินนักคิด และภาคประชาชน เข้ามาร่วมออกแบบการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์อย่างยิ่งยวดขึ้นอีก เรียกว่า “มหากาฬโมเดล” ป้อมกับกำแพงเมืองคือโบราณสถาน พื้นที่หลังป้อมคือ สวนสาธารณะและพื้นที่สีเขียว รอยต่อระหว่างสวนกับชุมชนคือเวทีกิจกรรม หรืออาคารพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็ก และชุมชนที่เลือกอาคารเรือนไม้กับผู้คนไว้แล้วให้ดำรงอยู่ในฐานะ “วัตถุและชีวิต” ที่ “จัดแสดง” เพื่อการเรียนรู้ ไม่ใช่“สิ่งแปลกปลอม” หรือ “ส่วนเกินทางประวัติศาสตร์” เราจะได้สิ่งที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญและสนใจ นั่นคือ “พิพิธภัณฑ์มีชีวิต” ที่มีหัวใจของเรื่องคือ การเป็น “ชุมชนชานพระนครกรุงรัตนโกสินทร์” ที่ไม่เคยดับสูญ
แต่บัดนี้มัน “ดับสูญ” แล้ว ดับด้วยมือของคนรุ่นเรา ดับด้วยการที่เราไม่ “เปิดใจฟัง” ว่าเขาเสนอสิ่งที่ “มีคุณค่า” เพียงใด ต่อการยืนยัน “ความมีรากเหง้า” ของประเทศไทยโดยเฉพาะรูปแบบชีวิต รกราก และพัฒนาการของ “ประชาชนในกรุงรัตนโกสินทร์”
เราไม่เห็นคุณค่าของ “ชีวิตไพร่” เหล่านี้ เท่ากับ “สวนสาธารณะเขียวขจี ทั้งๆ ที่มีงานวิจัยบอกแล้วว่า พื้นที่ตรงนี้ไม่เหมาะแก่การทำเป็นสวนสาธารณะ เพราะเป็นที่อับ อาชญากรรมจะเกิดขึ้น
ชาวป้อม ที่ถูกมองเป็น “ส่วนเกิน” และ “ผู้บุกรุก” หรือ“คนดื้อแพ่ง” อาสาสารพัด ว่าเขายินดีจะเอาบ้านเรือนและชีวิตของพวกเขา เป็น “วัตถุจัดแสง” ให้คนเข้ามาเห็น มาเรียนรู้ มาดูว่าชุมชนชานพระนครกรุงรัตนโกสินทร์นั้นเป็นอย่างไร มีพัฒนาการมาตกยุคสมัยจนถึงปัจจุบันนี้อย่างไร วิถีชีวิตทั้งหลาย ที่นอกเหนือจากเรือนไม้มีคุณค่า เช่น การทำศีรษะปู่ครู การทำกรงนกเขา ฯลฯ ก็จะร่วม
เป็นส่วนหนึ่งของ “พิพิธภัณฑ์มีชีวิต” ตรงนี้
ข้อกังวลเรื่องกฎหมาย ถามว่าแก้ไขได้ไหม ถ้าหาก “มีใจ”และ “เห็นค่า” ทำไมจะแก้ไม่ได้ อาคารศาลริมสนามหลวงนั้นก็ “แก้กฎหมาย” กันอุตลุดมิใช่หรือ จึงสร้างในแบบที่สร้างกันนั้นได้แต่ชีวิตชาวบ้านจนๆ ไพร่หลังป้อม มันไม่น่ามอง มันอุจาดอุบาทว์ตาเกินไปหรือไร สังคมไทยจึงเอาแต่บอกว่า บุกรุก ดื้อด้าน สกปรกรกรุงรัง ก่ออาชญากรรม มียาเสพติด ทั้งๆ ที่สิ่งเหล่านี้ คนในชุมชนพร้อมใจกันปรับปรุง แก้ไข และป้องกันมาโดยตลอด 25 ปี ที่ยืนหยัดของเป็น “ประวัติศาสตร์” คู่แผ่นดิน ไม่รวมเรื่องกำเนิดคณะลิเกปิดวิกแห่งแรกของแผ่นดินสยาม ก็เกิดในชุมชนนี้ แม้ไม่มีการสืบเนื่องการแสดงดังกล่าวมาถึงคนรุ่นปัจจุบันก็ตาม
ผมเศร้ากับเรื่องนี้อย่างที่สุด เศร้ากับการฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ 236 ปี ด้วยการทำลาย “ประวัติศาสตร์ที่สมบูรณ์” ให้เหลือแค่ “ฉาก” ใช่หลังจากนี้เขาปรับปรุงพื้นที่ เขาปลูกสร้างเรือนไม้ขึ้นใหม่ได้ เขาทำนิทรรศการสวยงาม น่าสนใจ เที่ยวชมอย่างปลอดภัย เพลิดเพลินและเย็นฉ่ำปานใดก็ได้
แต่ชีวิตที่ถูกเสือกไสออกไป นั่นคือ “ส่วนเกิน” ของประวัติศาสตร์บนแผ่นดินผืนนี้จริงๆ หรือ?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี