ในการเมืองไทยในระบอบเสรีประชาธิปไตย ตามกฎเกณฑ์กติกา รวมทั้งตามประเพณีปฏิบัติ ต่างเป็นที่รู้ เป็นที่เข้าใจ กันว่า พรรคที่ชนะการเลือกตั้งเป็นเสียงข้างมาก จะได้เป็นแกนจัดตั้งคณะรัฐบาล โดยหัวหน้าพรรคนั้นๆ จะได้มาเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล หรือนายกรัฐมนตรี แต่ก็มีหลายๆ ครั้งที่เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองทำให้ตัวนายกรัฐมนตรีกลายเป็นหัวหน้าพรรคเล็กที่ร่วมรัฐบาลแทน นอกจากนั้นในยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ ก็มีกรณีที่ไปเชิญคนนอก (พรรค) มาเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะในสมัยนั้นยังไม่ได้มีกฎเกณฑ์ที่ว่า นายกรัฐมนตรีต้องมาจากผู้ที่เป็นผู้แทนราษฎร
ของไทยเราเพิ่งจะมีการกำหนดชัดเจนในกฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2540 กันว่า นายกรัฐมนตรีต้องมาจากผู้ที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้แทนราษฎร และได้รับความเห็นชอบด้วยเสียงส่วนใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎร
นั่นก็เพราะ สังคมไทยเราพึงพอใจกับประชาธิปไตยเต็มใบ ที่มีนายรัฐมนตรีจากผู้แทนราษฎรที่มาจากเสียงประชาชน เพราะดูชอบธรรมเหมาะสมดี ตัวนายกรัฐมนตรีก็ดูมั่นคงในตำแหน่งเพราะมาจากเสียงสนับสนุนของประชาชน อีกทั้งในสังคมทั่วไปก็รู้สึกและยอมรับกันว่า นายกรัฐมนตรีที่มาจากผู้แทนราษฎรนั้นเป็นประชาธิปไตย เพราะผ่านกระบวนการเลือกตั้งทั้งโดยประชาชนในขั้นแรกและโดยผู้แทนราษฎรด้วยกันในขั้นที่สอง ด้วยการแข่งขันกับผู้ท้าชิงต่างๆ ในสภา
จนมาถึงกฎหมายรัฐธรรมนูญยุคปฏิรูปการเมืองฉบับปี 2560 ซึ่งได้รับการกำกับการยกร่างผ่านบรรดาแม่น้ำ 5 สาย จนไปถึงการลงประชามติเห็นชอบโดยประชาชน ประชาธิปไตยไทยกลับกลายเป็นการถอยหลังเข้าคลอง โดยรัฐธรรมนูญได้กลับไปเปิดโอกาสให้ผู้ที่ไม่ได้เป็นผู้แทนราษฎรสามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้เพียงได้รับการบรรจุไว้ในรายชื่อ 1 ใน 3 ที่พรรคการเมืองหนึ่งใดเสนอไว้ตั้งแต่แรกเริ่มการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งก็กลายเป็นผู้ที่มีชื่อติดโผให้ประชาชนทราบ แต่ประชาชนมิได้ลงคะแนนเลือกคนผู้นั้นในฐานะสมาชิกพรรคที่นำเสนอ จัดได้ว่าเป็นกระบวนการที่สร้างขึ้นมาเพียงเพื่อให้ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนนอกดูดี มีความชอบธรรมในระดับหนึ่ง แต่ก็เป็นเพียงการเบี่ยงเบนหลักการที่ให้นายกรัฐมนตรีต้องได้รับเลือกจากประชาชนเป็นผู้แทนราษฎรก่อน แล้วค่อยไปแข่งขันในสภา ชนะกันด้วยเสียงข้างมากของผู้แทนราษฎร
กระบวนการที่ว่านี้ ถือเป็นการลดความเข้มข้นของสังคมเสรีประชาธิปไตย และลดความน่าเชื่อถือของพรรคการเมือง และลดคุณค่าหน้าตาและศักดิ์ศรีของหัวหน้าพรรค และความเป็นนักการเมืองอาชีพ ผู้ที่ตั้งใจอาสาเข้ามารับใช้บ้านเมืองด้วยวิธีการแข่งขัน เพื่อที่จะให้ประชาชนพลเมือง เป็นผู้เลือก เป็นผู้ตัดสิน แต่กลับต้องไปพึ่งชื่อเสียงของใครสักคนมาเป็นตัวชูโรงเรียกคะแนนเสียงจากประชาชน ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ยอมสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคของตน ซึ่งก็แปลว่าเขาไม่ได้มีอุดมการณ์เดียวกันกับพรรคดังกล่าวนั่นเอง แล้วยังกล้าจะไปเสนอชื่อ จะไปเชิดชูเขามาเป็นผู้นำ หรืออีกนัยหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นว่า พรรคนั้นบ้อท่าไร้ปัญญาหาคนที่เหมาะสมมานำพรรค นำประเทศด้วยตนเองเสียแล้ว ซึ่งเรื่องขั้นต้นของประชาธิปไตยเช่นนี้ยังไม่มีความสามารถ แล้วเรื่องบริหารประเทศที่ยากเย็นกว่านี้ ประชาชนจะไปหวังพึ่งกันได้อย่างไร?
พรรคการเมืองที่เป็นเสรีประชาธิปไตยที่แท้จริงก็ต้องมีการเสนอรายชื่อ 3 ชื่อ เพื่อรับการลงคะแนนเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องเป็น 3 รายชื่อสมาชิกพรรคตน ที่ต่างจะต่อสู้ในสนามเลือกตั้งเพื่อได้เป็นผู้แทนราษฎร ซึ่งแปลว่า ทุกคนต้องเป็นผู้สมัคร ต้องเป็นสมาชิกของพรรคนั้นๆ เท่านั้น โดยสามัญสำนึก หรือโดยธรรมเนียมปฏิบัติ ก็น่าจะเป็นผู้อาวุโสในพรรคของตน
ซึ่งหากพรรคไหนจะดันทุงรังใส่ชื่อคนนอกพรรค ก็คงไม่มีใครไปห้ามได้ แต่โปรดพึงสังวรณ์ไว้ว่า ชาวบ้านเขาคงหัวเราะเยาะ ว่าพรรคนี้ไม่มีปัญญาหาผู้นำที่มีอุดมการณ์เดียวกับตนมานำเสนอกับสังคมแล้ว ยังไม่มีหัวจิตหัวใจประชาธิปไตยเอาเสียเลย ซึ่งมันช่างตรงกันข้ามกับการมาลงแข่งเพื่อเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระบอบประชาธิปไตย แล้วใครๆ เขาจะไปเชื่อถือได้
พรรคการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี