อำนาจเด็ดขาดของรัฐบาล คสช. ที่ใช้ในการแก้ปัญหาวิกฤติชาติที่ผ่านมาหลายครั้ง กระทั่งล่าสุดที่มีการใช้อำนาจตาม ม.44 ในการออกคำสั่งของหัวหน้าคสช. เมื่อวันที่ 24 เมษายน เพื่อจัดการปัญหาความวุ่นวายในการคัดเลือก กสทช. โดยแม้จะไม่สามารถระบุได้ว่านี่เป็นทางแก้ปัญหาที่ถูกต้องหรือไม่? แต่ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า หากคสช.คิดจะจัดการกับปัญหาใดๆ ก็ทำได้ และเมื่อตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมานี้ถือว่าเป็นคำสั่งที่ 7 แล้ว โดยคำสั่งใดเมื่อออกมาแล้วก็จะมีผลเดี๋ยวนั้น อย่างไรก็ตาม การใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอาจสามารถแก้ปัญหาได้หลายอย่าง ในขณะที่อีกหลายปัญหาก็ไม่สามารถจัดการได้ อย่างปัญหาอันเกี่ยวเนื่องกับค่านิยมหรือวัฒธรรมองค์กร โดยเฉพาะปัญหาในเรื่องการศึกษาของไทยที่อาจมีอะไรมากกว่าที่เห็นภายนอก
หากจะมีคนมองว่า คสช.เป็นรัฐข้าราชการก็ไม่แปลก เพราะมีการวางตัวผู้ทำงานไว้ตั้งแต่รัฐมนตรี จนถึงระดับปฏิบัติการ ซึ่งเป็นแขนขาในการทำงาน ตลอดจนพบว่าอดีตข้าราชการหลายคนก็ได้มีส่วนในการร่างกฎหมายในยุคนี้ โดยหลายคนได้รับการแต่งตั้งเป็นสนช. ซึ่งสนช.ชุดปัจจุบันออกกฎหมายมาแล้วไม่ต่ำกว่า 350 ฉบับ ภายในระยะเวลาเพียง 3 ปี ทั้งนี้ โดยมากเป็นการปรับปรุงกฎหมายเพื่อสร้างความสะดวกในการทำงานให้แก่ข้าราชการใช่หรือไม่? อนึ่ง รัฐบาลชุดนี้มีการปรับแก้เกณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับค่าตอบแทนตลอดจนถึงสวัสดิการ หรือสิทธิต่างๆ ให้ข้าราชการได้เพิ่มมากขึ้นไม่น้อยใช่หรือไม่? ซึ่งถือเป็นขวัญกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติงาน แต่ในอีกทางหนึ่งก็ถือเป็นภาระของงบประมาณแผ่นดินที่ต้องแบกไว้ เป็นหน้าที่ของผู้มีอำนาจที่จะต้องตัดสินใจพิจารณา แต่หากทำงานได้คุ้มค่าประชาชนผู้เสียภาษีก็ยินดี อนึ่งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตลอดรัฐบาลนี้อยู่ในช่วงประมาณ 2.7-3 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่ามากกว่างบประมาณในปีก่อนหน้า ทั้งนี้งบประมาณของประเทศไม่ว่ายุคใดส่วนใหญ่ก็จะอยู่ที่งบฯเงินเดือนข้าราชการและบุคลากรของรัฐ และในปี 2561 งบประมาณที่สูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง ก็คืองบฯของกระทรวงศึกษาฯซึ่งถือว่าสูงมาตลอด โดยปีนี้มีมากถึง 510,961 ล้านบาท และเป็นงบประมาณด้านบุคลากรถึง 329,833 ล้านบาท ด้วยงบฯจำนวนนี้ย่อมนำมาซึ่งความคาดหวังของประชาชนว่าจะนำพาการศึกษาไทยของลูกหลานให้ดีขึ้นได้ แต่หากไปดูการจัดอันดับของWEF(World Economic Forum) ได้มีการจัดเก็บข้อมูลและจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของแต่ละประเทศ หนึ่งในนั้นคือเรื่องการศึกษา ซึ่งในปี 2017 ไทยตกอันดับลงไปอยู่ที่ 8 จากทั้งหมด 10 อันดับประเทศอาเซียน ถึงแม้จะมีการให้งบประมาณในจำนวนที่สูงที่สุดโดยเฉพาะงบบุคลากรเพื่อนำมาแก้ปัญหาต่างๆ แต่อะไรคืออุปสรรคที่ถ่วงรั้งการพัฒนาการศึกษาของไทย?
ประชากรลดลง ทำให้ปริมาณของเด็กที่เข้าสู่ระบบการศึกษาลดลง คุณภาพการศึกษาน่าจะดีขึ้นหรือไม่? หลักสูตรการศึกษาได้มีการพัฒนาเปลี่ยนไปตามยุคสมัย และเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือไม่? หลักสูตรและปริมาณการผลิตบัณฑิตสอดรับกับความต้องการสอดรับกับตลาดวิชาชีพในปัจจุบันหรือไม่? โครงสร้างหลายขั้นของกระทรวงศึกษาฯเป็นประโยชน์ และมีประสิทธิภาพต่อการพัฒนาครูหรือไม่?
สภาวการณ์และสภาพแวดล้อมที่มีผลต่อการพัฒนาการศึกษาของประเทศ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ปัจจุบันประเทศไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ในอีกไม่กี่ปีนี้ โดยจากการวิเคราะห์ฐานข้อมูลจำนวนประชากรของประเทศไทยปี 2560 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่าจากจำนวนประชากรทั้งสิ้น 67.7 ล้านคน เป็นผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป จำนวนกว่า 11.3 ล้านคน หรือคิดเป็น 16.7% จะเพิ่มขึ้นเป็น 20% และ 28% ภายในปี 2564 และ 2574 ตามลำดับ ในขณะที่เด็กอายุต่ำกว่า 15 มีจำนวน 11.60 ล้านคน ซึ่งอัตราการเกิดของเด็กมีจำนวนลดลง ทำให้เด็กที่จะเข้าสู่ระบบการศึกษาลดลงต่อเนื่องหลายปีแล้วนั้น สวนทางกับโรงเรียน บุคลากรการศึกษา และงบประมาณการศึกษาที่เท่าเดิม แต่เหตุใดคุณภาพการศึกษาจึงยังถูกมองว่าลดลง?
ในขณะที่เทคโนโลยีนวัตกรรมและสภาวะทางเศรษฐกิจโลกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก หลักสูตรการศึกษาของไทยตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงมัธยมปลาย ได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงสอดรับกับความเปลี่ยนแปลงของโลกหรือไม่? และโดยสภาพเศรษฐกิจตลอดจนสภาพสังคมในประเทศที่เปลี่ยนไป หลักสูตรในการประกอบอาชีพของสถาบันอาชีวะและมหาวิทยาลัย ได้มีการปรับตัวในการผลิตบัณฑิตให้สอดรับกับความต้องการของตลาดแรงงานหรือไม่? ทั้งในเชิงคุณภาพและสัดส่วนปริมาณในสาขาที่ตลาดต้องการ อนึ่ง ขณะที่รัฐบาลพยายามผลักดันนโยบายไทยแลนด์ 4.0 หรือระดับรัฐมีการพัฒนาโครงสร้างอุตสาหกรรมใหม่อย่าง EEC หรือกรณีการดึงแนวร่วมธุรกิจดิจิทัลระดับโลกเข้ามาร่วมกับรัฐบาลไทย แต่แนวโน้มของมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาของรัฐยังคงผลิตบัณฑิตแบบเดิม จึงไม่แปลกที่ปัจจุบันจะมีแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านที่เก่งภาษาและมีความเชี่ยวชาญเฉพาะสายวิชาชีพที่ขาดแคลนในไทย ทั้งสายวิทยาศาสตร์ และสายการบริการเข้ามาแย่งงานในประเทศไทยอย่างมาก ในขณะที่บัณฑิตไทยตกงานก็มีมากขึ้น
สิ่งสำคัญที่สุดคือครูที่มีอยู่จำนวนมากในประเทศ นับว่าเป็นบุคลากรพื้นฐานที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศ ขณะที่โครงสร้างระบบวัฒนธรรมที่ฝังรากลึกในกระทรวงศึกษาฯทั้งในเรื่องของโครงสร้างที่สลับซับซ้อนในแบบแท่งต่างๆ ของกระทรวงศึกษาฯ และกรณีการกำหนดวิทยฐานะของครูรวมไปถึงเรื่องระบบเงินเดือนและสวัสดิการ จึงเป็นตัวครอบงำแนวทางอาชีพของครู ซึ่งการประเมินครูโดยกรอบต่างๆ กำหนดให้ครูต้องทำอย่างอื่นมากกว่าเป้าหมายของการสอนอย่างมีคุณภาพ รวมถึงภาระงานธุรการต่างๆ
ในโรงเรียน ซึ่งช่วงหนึ่งก็ได้มีโครงการครูธุรการเพื่อแบ่งเบาภาระ แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่ากลับมาเป็นภาระของครูอยู่เช่นเดิมหรือไม่? เมื่อครูไม่พร้อมที่จะสอน ก็ยากที่จะผลิตนักเรียนอย่างมีคุณภาพตามเป้าหมายที่แท้จริง ตลอดจนการสอบ O-net และ GAT-PAT กลับกลายเป็นอุปสรรคทั้งนักเรียน ในการแสวงหาความรู้ และยังเป็นช่องทางบางอย่างให้กับครูในการสร้างรายได้ จากการสอนนอกโรงเรียนด้วยหรือไม่? นอกจากนี้ปัญหาเรื่องค่านิยมในการเข้าเรียนโรงเรียนดังๆ อันเนื่องมาจากความเชื่อเรื่องการศึกษาที่ยังเหลื่อมล้ำกันอยู่ ทำให้ผู้ปกครองยินดีจ่ายเงินเพื่อเข้าสู่ระดับการศึกษาในโรงเรียนที่ต้องการ อย่างกรณีที่มีการแอบถ่ายคลิปวีดีโอผู้อำนวยการโรงเรียนชื่อดังรับเงินแป๊ะเจี๊ยะจากผู้ปกครองจำนวน 4 แสนบาท เพื่อแลกกับการรับเข้าเรียน ตลอดจนข่าวการซื้อตำแหน่ง เพื่อย้ายไปอยู่ในโรงเรียนที่ดี รวมถึงการสอบบรรจุครูผู้ช่วย ซึ่งจะพบข่าวการทุจริตเพื่อให้สอบได้เป็นครูจำนวนไม่น้อยทุกปี แล้วก็ยังไม่สามารถจัดการปัญหาดังกล่าวนี้ได้? สิ่งเหล่านี้เกี่ยวพันกับครู ตั้งแต่ระดับบริหาร ไล่ลงมาจนถึงระดับปฏิบัติการ เมื่อยังมีแม่พิมพ์ของชาติ ที่ยังวนเวียนคิดกันแต่เรื่องแบบนี้ แม้ไม่ทั้งหมด แต่เกิดคำถามว่าอนาคตของชาติจะเป็นอย่างไร?
สุดท้ายคือการตรวจสอบและประเมินผลการทำงานของบุคลากรในกระทรวงศึกษาฯและครู ตั้งแต่ระดับชาติลงไปถึงระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่น ที่ยังคงใช้มาตรฐานเดียวในการประเมิน ทุกท้องถิ่น ทั้งที่ความเป็นจริง ต้องยอมรับในความแตกต่างของปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคม ของแต่ละภูมิภาค ตลอดจนความคิด ความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น โครงการส่งเสริมพัฒนาก็เช่นกัน ไม่สามารถที่จะนำโครงการเดียวไปทำในแบบเดียวกัน ทุกท้องถิ่น ทุกภูมิภาคได้อย่างเช่นกรณี กองทุนเสมาฯที่เพิ่งจะมีการดำเนินการตรวจสอบการทุจริตเมื่อไม่นานมานี้ ที่พบการยักยอกเงินกว่า 100 ล้านบาทหรือไม่? โดยข้าราชการครูระดับสูงในพื้นที่ ซึ่งกระทำมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว? หากเป็นเรื่องจริงเพิ่งจะมามีการตรวจสอบพบหรือ? หลายครั้งการให้อำนาจแบบชุดคำสั่งแบบเดียวกันในทุกพื้นที่กลับกลายเป็นช่องว่างให้เกิดการยักย้ายถ่ายเท และยากที่จะเข้าไปตรวจสอบเพราะมีจำนวนหลายร้อยโครงการ อีกทั้งยังครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศสมกับคำที่ว่าไกลปืนเที่ยง ยังเป็นอยู่ในปัจจุบัน
ในขณะที่ปัญหาหลักของสังคมไทย และทั่วโลกทุกวันนี้ที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งมากที่สุด มีจุดเริ่มต้นมาจากความเหลื่อมล้ำแทบทั้งสิ้น การศึกษาจึงเป็นทางออก ซึ่งนอกจากจะส่งเสริมให้เกิดการศึกษาที่ฟรีและเท่าเทียมกันแล้ว ก็ควรจะส่งเสริมให้มีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างแท้จริงจึงจะเป็นการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมได้
“...หากคนใดมีความต้องการขอร้อง มิว่าผู้ใดต่างมีขวัญเข้มแข็งกว่าเดิม...” คำคมโกวเล้ง จากเรื่องฤทธิ์มีดสั้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี