การที่สังคมไทยไม่อาจเปลี่ยนแปลงจากสังคมอมาตยาธิปไตยเป็นสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริงได้ ทั้งที่พยายามร่างกฎกติกานับตั้งแต่ยึดอำนาจจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยอ้างว่าจะสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมประชาธิปไตย แต่ความจริงกลับเกิดสังคม “อภิชนาธิปไตย” เข้าแทนที่ ทั้งนี้เพราะสังคมไทยไม่เคยสลัดความเป็นสังคมอมาตยาธิปไตย ให้หลุดพ้นได้เลย
ในทางปฏิบัติ กล่าวคือ สังคมชนชั้นในเมืองไทยไม่เปลี่ยนแปลง ในทางการเมืองผู้ที่มีตำแหน่งทางการเมืองเดิมเป็นคนธรรมดาแต่เมื่อมีตำแหน่งทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นเลขานุการรัฐมนตรีผู้ช่วยรัฐมนตรี และรัฐมนตรี รวมทั้งผู้แทนราษฎร ฯลฯ เขาจะกลายเป็นบุคคลอีกชนชั้นหนึ่ง และยิ่งเป็นรัฐมนตรีแล้วกลายเป็นขุนนาง ในอดีตเป็นคนอีกชนชั้นหนึ่ง ส่วนข้าราชการประจำก็เช่นกันเมื่อมีตำแหน่งก็จะกลายเป็นคนอีกชนชั้นหนึ่ง กลายเป็น “อภิสิทธิ์ชน” ซึ่งผิดกับสังคมประชาธิปไตยในสังคมอื่น
ตัวอย่าง คนขับรถแท็กซี่ก็อาจอาศัยอยู่ในแฟลตเดียวกับตำรวจ หมายความว่า ใครจะมีตำแหน่งใดถ้าหมดหน้าที่การงานก็จะกลายเป็นประชาชนที่มีฐานะทางสังคมเท่าเทียมกัน ฉะนั้นตราบใดที่สังคมไทยยังมีการแบ่งชั้นวรรณะโดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ หรือมีฐานะทางการเงินก็จะกลายเป็นชนชั้นสูงโดยไม่สนใจว่าเงินทองที่เขามี ได้มาจากธุรกิจสีขาว หรือสีเทา
ฉะนั้นตราบใดที่สภาพสังคมยังเป็นอย่างนี้โดยสังคมยังยอมรับสภาพโดยไม่เปลี่ยนแปลง การสร้างสังคมประชาธิปไตยย่อมไม่มีวันเกิดขึ้นไม่ว่าจะมีกฎกติกาเป็นประชาธิปไตยเพียงใดก็จะเป็นเพียงเศษกระดาษเปื้อนหมึกที่รอการฉีกทิ้งเท่านั้น ฉะนั้นตราบใดที่สังคมไทยยังเป็น “สังคมศรีธนญชัย” กฎหมายหรือกติกาก็มีไว้ใช้กับพลเมืองชั้นสองเท่านั้น เพราะกฎหมายไม่สามารถใช้กับผู้มีอำนาจทางการเมือง การบริหาร และผู้มีอำนาจทางการเงินได้ ดังสุภาษิตที่ว่า “แข็งเท่าแข็งเงินง้างอ่อนได้ดังประสงค์” หรือสุภาษิตจีนที่ว่า “เงินมีอำนาจ จ้างผีให้โม่แป้งได้” ถ้าสถานการณ์สังคมยังไม่เปลี่ยนแปลงต่อให้มีการปฏิรูปกี่ครั้งก็ตามสังคมไทยก็ไม่มีวันเป็นสังคมประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ได้
สุดท้ายนี้ใคร่ขอนำเรื่องการเมืองแท้ๆ มากล่าวสักเล็กน้อย คือ การเตรียมการทำให้สังคมการเมืองเป็นประชาธิปไตยครึ่งใบ หรือที่ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี เรียกว่า
“ประชาธิปไตยฟันปลอม” นั้น ขณะนี้มีความเคลื่อนไหวทั้งพรรคการเมืองใหม่และเก่า ในฐานะนักรัฐศาสตร์กำลังวิตกว่าโฉมหน้าการเมืองในอนาคตอาจไม่ราบรื่นดังที่คาดหวัง เพราะเนื่องจากผู้มีอำนาจในปัจจุบันมีแนวโน้มหรือเปิดหน้าชัดว่าจะเข้าร่วมในการเลือกตั้ง (ทั้งๆ ที่มีกองหนุนรองรับอยู่ 250 แล้วก็ตาม) แต่เพื่อความแน่ใจในเสียงสนับสนุนจึงแสวงหาทางสนับสนุนจากนักการเมืองในอดีตโดยไม่สนใจว่าภูมิหลังของพวกเขาเป็นอย่างไร ขอให้เขามาร่วมซึ่งถ้ามองแบบผิวเผินก็น่าจะเป็นประโยชน์
แต่ถ้ามองในอีกด้านจะเป็นไปตามที่พลเอกเปรมท่านกล่าว และถ้าศึกษาการเมืองในอดีตประวัติศาสตร์อาจหวนกลับมาอีกทั้งสมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามกับพวก ตั้งพรรคเสรีมนังคศิลา จอมพลถนอม จอมพลประภาส ตั้งพรรคสหประชาไทย ซึ่งชีวิตบั้นปลายต้องพลัดพรากจากประเทศเพราะเหตุการณ์ทางการเมืองและ พลเอกสุจินดา คราประยูร แห่งพรรคสามัคคีธรรม ก็เช่นกัน ฉะนั้นการที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศจะตัดสินใจในเรื่องการเมืองในเดือนมิถุนายนก็หวังว่าท่านคงจะพิจารณาตัดสินด้วยตัวเองโดยไม่ใช่ฟังจากผู้หวังประโยชน์จากท่าน เพราะท่านเปรียบเสมือนต้นโพธิ์ใหญ่ที่บรรดานกเกาะเพื่ออาศัยร่มไม้ แต่ถ้าหมดความต้องการพวกนกก็จะบินไปเกาะต้นไม้ใหญ่อื่น
สุดท้าย ขอฝากสุภาษิตให้ท่านหัวหน้ารัฐประหารที่ว่า “ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ เหลาๆ ไปเป็นบ้องกัญชา”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี