ปลายเดือนมิถุนายน 2557 นายเจอร์รี บราวน์ ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ลงนามในกฎหมายของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย (California Assembly Bill 129 หรือ AB 129) ที่อนุญาตให้ใช้เงินตราดิจิทัล (Digital Currencyหรือ Crypto-Currency) เช่น เงินดิจิทัลสกุลบิทคอยน์สามารถใช้แทนเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐได้อย่างถูกต้องตามในรัฐแคลิฟอร์เนียถือเป็นมลรัฐแรกในประเทศสหรัฐฯ ภายหลังจากที่กฎหมายฉบับนี้ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการสถาบันการเงินและการธนาคาร ของวุฒิสภา รัฐแคลิฟอร์เนีย ด้วยคะแนน 7-1 และสภานิติบัญญัติของรัฐฯ ด้วยคะแนนและ 52-11 เสียง
เงินบิทคอยน์นั้นไม่มีหน่วยงานใดคอยควบคุม จึงเป็นสกุลเงินที่มีความเป็นอิสระโดยสิ้นเชิง ดังนั้นกลุ่มบุคคลหรือกลุ่มธุรกิจที่ยอมรับค่าของบิทคอยน์จึงสามารถใช้มันเป็นสื่อกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการกันทั่วโลกโดยสะดวกอย่างยิ่ง เพราะไม่มีค่าธรรมเนียมในการดำเนินการ ไม่ขึ้นอยู่กับเวลา สถานที่ จำนวนของบิทคอยน์นั้นถูกจำกัดให้มีจำนวนที่แน่นอนตั้งแต่เริ่มคิดค้นขึ้น คือ 21 ล้านบิทคอยน์ซึ่งโดยทฤษฎีเศรษฐศาสตร์พื้นฐานแล้วสิ่งที่มีปริมาณจำกัดจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น เมื่อมีความต้องการมากขึ้น เช่น ทองคำหรือน้ำมัน
ตัวบิทคอยน์เองนั้นน่าสนใจในแง่ของวิวัฒนาการทางการเงิน เป็นการปฏิวัติโฉมหน้าของระบบเงินตราซึ่งผันแปรไปตามวิวัฒนาการของโลกที่เทคโนโลยีดิจิทัล คอมพิวเตอร์และอินเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทกับมนุษย์ทุกมุมโลกไม่ทางตรงก็ทางอ้อม สิ่งที่ทำให้บิทคอยน์ได้รับความสนใจอย่างก้าวกระโดดและเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในเรื่องความยั่งยืน ความปลอดภัย และอีกหลายๆ ประเด็นของระบบเงินตราแบบดิจิทัลก็สืบเนื่องมาจากมีการเก็งกำไรในค่าเงินสกุลบิทคอยน์ จากมูลค่าที่ประมาณ 10 เซ็นต์ ในปี 2552 จนทำสถิติมีมูลค่าเกือบ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อ 1 บิทคอยน์ในปลายปี 2560
อย่างไรก็ตาม บทบาทหลักของ “เงิน” นั้นนอกจากการใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการแล้ว มันยังทำหน้าที่ในการเป็นเครื่องมือในการชำระหนี้ เป็นสิ่งซึ่งใช้ในการรักษามูลค่าและเป็นมาตรฐานในการกำหนดมูลค่า โดยไม่ว่าจะเป็นสกุลเงินของชาติใดในโลกจะมีลักษณะร่วมกันอยู่คือมีธนาคารกลางของแต่ละประเทศเป็นผู้กำกับและดูแล ตลอดจนควบคุมปริมาณเงินที่อยู่ในระบบให้มีเสถียรภาพ เงินที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันอยู่ในสภาพของเหรียญ ธนบัตร เช็ค ฯลฯ ล้วนเป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ แต่เมื่อเงินบิทคอยน์ได้กำเนิดขึ้น เงินตราแบบดิจิทัลนี้ได้ฉีกกฎเกณฑ์ของรูปแบบระบบเงินตราปัจจุบันที่เราคุ้นเคยกันอยู่ออกไปอย่างสิ้นเชิง
ณ เวลาที่ค่าเงินบิทคอยน์ได้พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงในระลอกแรก ได้มีผู้ให้ทัศนะต่างๆ กันต่อทิศทางในอนาคตของบิทคอยน์ เช่น ในเดือนกุมภาพันธ์ 2557 บิล เกต ผู้ก่อตั้งบริษัท Microsoft ได้แสดงความเห็นของเขาที่มีต่อ Crypto Currency ในเว็บไชต์ www.reddit.com ว่า “....การที่เงินดิจิทัลมีค่าการดำเนินการที่ต่ำนั้นเป็นเรื่องที่ดีสำหรับคนจน เนื่องจากเป็นความจำเป็นของคนจน เขาคิดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า เงินดิจิทัลจะได้รับความนิยมในอินเดีย และในบางส่วนของทวีปแอฟริกา และจะช่วยคนจนได้มาก......”
ลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส รัฐมนตรีคลังสมัยประธานาธิบดีบิลล์คลินตัน อดีตหัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลก และอดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal ฉบับวันที่ 30 เมษายน 2557 ว่าแม้ตัวเขาจะไม่ได้สนับสนุนบิทคอยน์หรือเงินสกุลดิจิทัลอย่างชัดแจ้ง แต่ซัมเมอร์สได้กล่าวว่า “....ผู้ที่ปฏิเสธนวัตกรรมของระบบการเงินใหม่เป็นผู้ซึ่งอยู่ในด้านที่ผิดของประวัติศาสตร์” เขายังกล่าวอีกว่า “...ระบบการเงินในปัจจุบันเต็มไปด้วยความไม่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะขั้นตอนในกระบวนการโอนเงิน....”
ในขณะที่ พอล ครุกแมน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลปี 2551 กลับมองว่าบิทคอยน์ก็เหมือนกับการเก็งกำไรในค่าเงิน หรือแร่ธาตุที่มีค่า ทั่วๆ ไป คือมีการปั่นไล่ราคา และมีผู้สนใจเข้าซื้อจนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับราคาหนึ่งและเมื่อถึงระดับราคาที่พอใจก็จะเกิดการเทขายออกมาซึ่งก็จะมีการเทขายตามๆ กันทำให้มูลค่าก็จะตกลง กระทั่งมีการปั่นราคาขึ้นไปอีกครั้งเป็นวัฏจักร ครุกแมนตั้งข้อสังเกตในบทความเรื่อง “Bitcoin is evil” ใน NY Times ฉบับวันที่ 28 ธันวาคม 2556 ว่า “...สำหรับในทางเศรษฐศาสตร์แล้ว สิ่งที่จะเป็นเงินได้ ต้องเป็นทั้งสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนและเป็นสิ่งที่เก็บรักษามูลค่าได้อย่างมีเสถียรภาพอย่างมีเหตุผล แต่สำหรับบิทคอยน์แล้วไม่เป็นที่ชัดเจนโดยสิ้นเชิงว่า ทำไมบิทคอยน์ถึงเป็นสิ่งที่เก็บรักษามูลค่าได้อย่างมีเสถียรภาพ...”
ด้วยเหตุผลดังกล่าว บิทคอยน์จึงยังมีความไม่ชัดเจนในแง่ของความมีมูลค่าในตัวเอง ซึ่งในทางทฤษฎีแล้วความมีค่าของเงินนั้นเป็นการเห็นพ้องตรงกันของคนในสังคมที่ใช้เงินสกุลนั้นๆ เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยน โดยมีธนาคารกลางของแต่ละประเทศเป็นผู้คอยควบคุมดูแล แต่ในสภาวะที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของสกุลเงินบิทคอยน์ไม่มีการควบคุมดูแล มีเพียงการยอมรับร่วมกันของกลุ่มคนที่ใช้บิทคอยน์ มองในแง่หนึ่งทำให้บิทคอยน์เป็นสิ่งซึ่งเป็นการแข่งขันโดยสมบูรณ์ตามกลไกตลาด แต่เมื่อมองในอีกแง่หนึ่ง หากไม่มีใครยอมรับความมีค่าของบิทคอยน์อีกต่อไป บิทคอยน์จำนวน 21 ล้านบิทคอยน์ ก็จะมีค่าเป็นศูนย์ หากเปรียบเทียบกับแร่ธาตุมีค่าอื่นๆ เช่น ทองคำ หากสังคมโลกเลิกให้ค่าในฐานะที่เป็นเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ ทองคำยังมีประโยชน์ในด้านเศรษฐกิจอื่นๆ อีกมาก เพราะสามารถนำเอาไปทำอะไรได้อีกมากมาย แต่บิทคอยน์จะไม่สามารถใช้ทำอะไรได้อีกเลย
ส่วนด้านของความปลอดภัยในการถือครอง....เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2557 บริษัท Mt.Gox ผู้รับซื้อขายแลกเปลี่ยนบิทคอยน์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกซึ่งอยู่ที่ญี่ปุ่นได้ประกาศปิดเว็บไซต์และได้มีการยื่นล้มละลายในเวลาต่อมา โดยอ้างว่าถูกโจมตีจากแฮกเกอร์ทำให้สูญเสียบิทคอยน์ไปประมาณ 8.5 ล้านบิทคอยน์
อีกเหตุการณ์หนึ่งก็คือ ผู้ดำเนินทางโทรทัศน์ช่อง Bloombergสถานีที่เน้นข่าวเรื่องเศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน ได้ถูกขโมยบิทคอยน์ขณะดำเนินรายการด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เนื่องจากเขาได้โชว์QR Code ของบิทคอยน์ ในรูปบัตรของขวัญที่ได้รับจากเพื่อนร่วมงานขณะดำเนินรายการสดทางโทรทัศน์ ซึ่งการโชว์ QR Code นี้เหมือนเป็นการโชว์รหัสบัตรเอทีเอ็มนั่นเอง ต่างกันตรงที่ไม่จำเป็นต้องมีบัตรเอทีเอ็ม เพียงมีรหัสก็สามารถรับบิทคอยน์ได้แล้ว
ขณะที่ข้อดีของบิทคอยน์คืออยู่ที่ความเป็นอิสระที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีหน่วยงานหรือองค์กรใดคอยกำกับ ทำให้การทำธุรกรรมในการชำระค่าสินค้าและบริการทุกที่ทุกแห่งทุกเวลาในโลกใบนี้แทบไม่มีค่าธรรมเนียมการโอน ซึ่งประเด็นนี้อาจเป็นสิ่งจูงใจที่สำคัญให้คนเข้ามาใช้สกุลเงินดิจิทัล เช่น เงินสกุลบิทคอยน์หรือเงินดิจิทัลสกุลอื่นๆ กันมากขึ้น เมื่อลองมองถึงค่าธรรมเนียมในการ ฝาก ถอน โอนเงินระหว่างธนาคาร หรือต่างเขตของธนาคาร ค่าธรรมเนียมการใช้บริการเครดิตการ์ดที่ร้านค้าต่างๆ ต้องเสียให้ธนาคาร หรือแม้แต่การค้าระหว่างประเทศที่ต้องมีการโอนเงินผ่านระบบคราวละมากๆ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ หากเป็นการใช้เงินดิจิทัลแทบไม่มีค่าดำเนินการใดๆ เลย จุดแข็งอีกประการหนึ่งของบิทคอยน์ คือคุณลักษณะไม่ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจของประเทศใด ทำให้ผู้ใช้บิทคอยน์ที่ทำธุรกิจระหว่างประเทศไม่มีความเสี่ยงต่อความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
ทุกวันนี้ผู้ที่ยอมรับการใช้บิทคอยน์เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน เข้าไปขุดเหมืองบิทคอยน์หรือเข้าไปซื้อขายบิทคอยน์น่าจะมีเจตจำนงเพื่อใช้ประโยชน์จากความผันผวนของราคาบิทคอยน์ โดยหวังและรอเวลาที่จะแลกบิทคอยน์ให้เป็นเงินจริง บิทคอยน์ในวันนี้จึงถูกมองและวิพากษ์วิจารณ์ในฐานะสื่อกลางในการเก็งกำไร มากกว่าจะเล็งเห็นประโยชน์ในแง่ของความเป็นสกุลเงินสกุลหนึ่งจริงๆ และเป็นที่น่าจับตามองต่อไปในอนาคตว่าบิทคอยน์ หรือแม้แต่เงินดิจิทัลสกุลอื่นๆ จะเปิดเผยตัวเองในฐานะสกุลเงินที่มีบทบาทกับเศรษฐกิจโลกได้จริงหรือเป็นเพียงอีกหนึ่งเหตุการณ์ฟองสบู่ทางการเงินที่รอวันแตกสลายและหมดค่าไปในที่สุด
หมายเหตุ ประวัติศาสตร์ฟองสบู่ทางการเงิน (History of Financial Bubble) ขอให้ดูในหนังสืออาจาริยบูชา 80 ปีศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ปรีชา สุวรรณทัต หน้า 432-451
ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี