การทำงานของผมในปัจจุบัน มีสอนหนังสือและหลักสูตรระยะสั้นในหน่วยงานต่างๆ ต่อเนื่องกันมากว่า 30 ปี
ลูกศิษย์ส่วนใหญ่จะรู้ว่าจุดแข็งของผมคือ วิธีการเรียนรู้ Learning how to learn หรือเรียกว่า Learn Share and Care คือเรียนด้วยแบ่งปันด้วย และยกย่องให้เกียรติในวิธีคิดแตกต่างทั้งหมดเป็นที่มาของ 4L’s
1.Learning Methodology สอนให้คิดและสร้างแรงบันดาลใจ
2.Learning Environment สร้างบรรยากาศในการเรียนรู้
3.Learning Opportunities ปะทะกันทางปัญญา
4.Learning Communities สร้าง/เกิดชุมชนแห่ง การเรียนรู้
วิธีการเรียน Learning Methodology คือสอนให้คิดแม้กระนั้นการออกข้อสอบจึงไม่มีแบบปรนัย เป็นการให้คิดและไม่มีคำตอบที่ถูกต้องข้อเดียว อยู่ที่จะวิเคราะห์อย่างไร วิธีนี้ ผมได้มาจากสมัยเรียนที่นิวซีแลนด์ ข้อสอบออกแบบวิเคราะห์ บางครั้งผมยังไม่ทราบเลยว่าข้อสอบถามอะไร แต่ผู้เรียนต้องตีโจทย์ให้แตก
ปัญหาการปฏิรูประบบการศึกษาของไทยที่สำคัญที่สุดของไทยด้วยวิธีการออกข้อสอบแบบท่องจำ ควรหยุดได้แล้วควรต้องเป็นการเรียนแบบกระตุ้นให้คิดและวิเคราะห์เป็น
ต่อมาผมชอบบรรยากาศในการเรียน Learning Environment คือห้องเรียนหรือที่เรียนต้องสบายๆ ไม่คับแคบจนเกินไป ถ้าเป็นไปได้ ไม่อยากให้ผู้เรียนนั่งแบบห้องเรียน ชอบให้นั่งเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 8-10 คน และปะทะกันทางปัญญาในการเรียน การปะทะทางปัญญา คือประธานอย่าแสดงความรู้คนเดียว ควรจะกระตุ้นกันในกลุ่มเสนอความคิดเห็นให้มีส่วนร่วมอย่างเสมอภาคสร้างบรรยากาศให้ทุกคนกล้าแสดงออก ปัญหาคือผู้ที่เป็นประธานจะต้องเก่งในการดึงความเป็นเลิศออกมาจากทุกๆ คน ผมได้ทดลองหลายแห่งได้ผลมาก เช่นที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หรือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่ผมทำติดต่อมานาน
นอกจาก 4L’s แล้ว ผมยังได้มีโอกาสนำเอาแนวคิด 2R’s คือ Reality and Relevance มาใช้ แปลว่าการเรียนยุคใหม่ต้องคำนึงถึงความจริงที่เกิดขึ้นว่าคืออะไรเช่น คนเรียนมาจากไหน ทำอะไรมีหน้าที่อะไร ปัญหาหลักๆ ขององค์กรหรือตัวเขาคืออะไร และเมื่อได้เข้าใจแล้ว ก็เลือกประเด็น ที่เป็นแนวคิด ทฤษฎีหรือกรณีตัวอย่างที่คิดว่าสำคัญ จะทำให้ความรู้เหล่านั้นไปสู่การปรับตัวเอง องค์กร อย่าลอกทฤษฎีฝรั่งที่ทำมา ประยุกต์ไม่ได้เพราะอาจารย์สอนตามตำราที่นำมาใช้ไม่ได้ และสร้างมูลค่าแบบที่ผมใช้คำว่า 3 V’s
1.Value Added สร้างมูลค่าเพิ่ม
2.Value Creation สร้างคุณค่าใหม่
3.Value Diversity สร้างคุณค่าจากความหลากหลาย
ที่ผ่านมา 2R’s ของผมอยู่ในห้องเรียน เป็นการเรียนที่สนุกและสามารถไปต่อยอดได้ ตัวอย่างเช่น มีผู้นำท้องถิ่นในพังงา บอกว่า ผมเรียนกับอาจารย์ผมเข้าใจ อยากจะทำธุรกิจท่องเที่ยวชุมชนที่ทำอยู่ให้มีมูลค่าเพิ่ม เช่น ท่องเที่ยวชุมชนจะต้องวิ่งจากมาตรฐานระดับชุมชนไปเป็นมาตรฐานโลก เพราะเขารู้ว่าข้อเท็จจริง Reality คือต้องสร้างรายได้ และ Relevant คือต้องมียุทธศาสตร์ที่ทำสำเร็จ โดยยกมาตรฐานการท่องเที่ยวให้สูงขึ้น (High Standard)เน้นความสะอาด การใช้ระบบดิจิทัล การหาตลาด การเงิน และการพัฒนาทุนมนุษย์
คำถามคือ เมื่อเข้าใจแล้ว ผมไม่อยู่แล้ว เขาจะทำหรือไม่ เมื่อเขาเรียนจบแล้ว ถ้าทำก็มีโอกาสสำเร็จเพราะเขาเริ่มจากใช้ 2R’s
ผมได้อ่านหนังสืออีก 2 เล่ม ได้นำมาใช้ในการเรียนการสอนด้วยเรื่อง 2R’s เป็นช่วงแรก ต่อยอดจากการเรียนรู้นำไปสู่การปฏิบัติ 2R’s ของผมคือ Stage ที่ 1 ส่วน 2R’s ของหนังสือ Shift Ahead คือ Stage ที่ 2
หนังสือเล่มนี้บอกว่า ธุรกิจต้องปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่ปรับตัว สินค้า Brand หรือลูกค้าจะหายไปถ้าปรับตัวโดยมีสินค้าที่ทันสมัย มี Brand ที่คนยังนิยม เขาเรียกว่าธุรกิจแบบนี้ว่า Relevant หรือ ประสบความสำเร็จ
ในการอ่านของหนังสือเล่มนี้พบว่า
การเรียนรู้จากความล้มเหลวที่บริษัท ผู้นำ หรือพนักงานในองค์กรที่ปรับตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จะล้มเหลวหรือไม่ คำว่า Relevant ของเขา คงไม่ใช่แค่ในห้องเรียน แต่หมายถึงความอยู่รอดขององค์กรนั้น ผมจึงเรียก 2 R’s ของผมว่าเป็น Stage ที่ 1 คือสามารถใช้การเรียนรู้จากหนังสือ หรือห้องเรียน และ Coaching + Mentoring มาปฏิบัติให้เกิดผลในอนาคต ซึ่งใคร
ที่เป็นลูกศิษย์ผม ทำอย่างต่อเนื่อง 3 ต. นำความคิด Ideas ไปสู่การปฏิบัติ คือ Stage 2 ของหนังสือ Shift Ahead นั้นเอง
ทั้งนี้คำว่า 2R’s ในปัจจุบันจึงมีความสำคัญในการปลูกฝังและสร้างแรงบันดาลใจการเรียนรู้และนำไปปฏิบัติ ในระดับองค์กร
ส่วนหนังสืออีกเล่มหนึ่งชื่อว่า Agility Shift ซึ่งเน้นว่า ยุคต่อไปการแข่งขันขององค์กรนั้น ต้องมีความคล่องตัวทำฉับพลัน เพื่อให้การปรับตัวขององค์กรให้ Relevant จะประสบความสำเร็จ
แต่ในหนังสือเล่มนี้เน้นว่า Relevant สำคัญอย่างยิ่งต่อความอยู่รอดขององค์กร
ในหนังสือ Agility เขายกตัวอย่างว่า Relevance เริ่มจากการรับพนักงานที่มีความเข้าใจอนาคตขององค์กร ถ้าทรัพยากรมนุษย์หรือทุนมนุษย์ของบริษัทมาทำงานเข้าใจว่าบริษัทมีทิศทางอย่างไร พร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท ถือได้ว่า พนักงานหรือทุนมนุษย์ของบริษัท มีความเข้าใจในอนาคต เน้นความยั่งยืนของบริษัท เรียกว่าพนักงานทำงานแบบ Relevant ถ้าพนักงานทำงานไปวันๆ โดยไม่เข้าใจองค์กร และเป้าหมายขององค์กรแปลว่าพนักงานคนนั้นยังไม่เข้าใจประเด็นสำคัญในการ “ทำงาน” ยุคใหม่
สรุปว่า ผมเริ่ม 2 R’s จากวิธีการเรียน หรือ Learning how to learn แต่หนังสือ 2 เล่ม เน้นต่อไปว่า Relevance จะต้องเกิดขึ้นจากการนำความรู้ไปปฏิบัติ เพราะองค์กรไม่ทำงานที่ Relevant ก็อยู่ไม่ได้
จุดอ่อนของหนังสือ 2 เล่ม คือ ยังไม่ได้เน้น R ตัวแรก คือ Reality ซึ่งจำเป็นต้องวิเคราะห์ข้อเท็จจริงขององค์กรเหล่านั้นว่าความจริงที่กดดันให้เขาปรับตัวไปสู่ Relevance คืออะไร
จีระ หงส์ลดารมภ์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี