3.การอำนวยความเป็นธรรมให้กับประชาชน และการอำนวยความยุติธรรมในคดีอาญา การทำสำนวนการสอบสวนและมาตรการควบคุม ตรวจสอบ เร่งรัดการสอบสวนคดีอาญา
3.1 ปรับปรุงศูนย์ดำรงธรรมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและยั่งยืน เนื่องจากเป็นที่ปรากฏชัดเจนว่า ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดซึ่งจัดตั้งและมีอำนาจหน้าที่ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 96/2557 ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2557 และศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ ซึ่งจัดตั้งตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2559 ได้ปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือเป็นที่พึ่ง แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและอำนวยความเป็นธรรมให้กับประชาชนผู้ร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือได้เป็นอย่างดี โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด และนายอำเภอในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ดำรงธรรมอำเภอบูรณาการทุกส่วนราชการ รวมทั้งบริหารจัดการศูนย์ดำรงธรรมให้สามารถทำงานได้อย่างดี
3.2 กระทรวงมหาดไทยควรปรับปรุงภารกิจด้านการสืบสวนและสอบสวนความผิดอาญาระหว่างพนักงานฝ่ายปกครองกับพนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจเสียใหม่ให้เหมาะสม และ เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการสืบสวนและสอบสวนความผิดอาญาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 17 และมาตรา 18 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ปฏิบัติหน้าที่ในความรับผิดชอบตามกฎหมายหรือกฎกระทรวงได้อย่างครบถ้วนและเป็นธรรมและเป็นประโยชน์ต่อการอำนวยความเป็นธรรม การบริการและอำนวยความสะดวก ให้แก่ประชาชนอย่างแท้จริงโดยมีเหตุผลประกอบการพิจารณาดังนี้
3.2.1 พระราชกฤษฎีกาโอนตำรวจกระทรวงมหาดไทยไปจัดตั้งเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2541 ความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 5) ระบุไว้ชัดเจนว่ากฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอันไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติราชการของ กรมตำรวจ ได้แก่ พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พ.ศ.2477 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 พ.ร.บ.มาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็กพ.ศ. 2540 ฯลฯ ไม่โอนไปเป็นของนายกรัฐมนตรี
3.2.2 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ.2478 บัญญัติให้ ทั้งปลัดอำเภอและพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ มีอำนาจสอบสวนความผิดอาญาซึ่งได้เกิดหรืออ้าง หรือเชื่อว่าได้เกิดภายในเขตอำนาจของตนหรือผู้ต้องหามีที่อยู่หรือถูกจับภายในเขตอำนาจของตนได้เรื่อยมา
แต่ในทางปฏิบัติที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทยมอบให้พนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจเป็นผู้สอบสวนดำเนินคดีความผิดประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายต่างๆ ที่มีโทษทางอาญาเพียงฝ่ายเดียว
3.2.2.1 กระทรวงมหาดไทยได้กำหนดข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยที่1/2509 ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2509 และข้อบังคับว่าด้วยระเบียบการดำเนินคดีอาญา พ.ศ.2523 ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2523 และที่แก้ไขเพิ่มเติมให้ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ แล้วแต่กรณีเข้าไปกำกับดูแล และควบคุมการสอบสวนหรือส่งปลัดอำเภอซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครองเข้าไปร่วมสอบสวนเพื่อเป็นการอำนวยความเป็นธรรมให้แก่ราษฎรหรือในกรณีที่มีการร้องทุกข์ขอความเป็นธรรม หรือกรณีเกิดคดีอาญาเกี่ยวกับการตัดไม้ทำลายป่าและทรัพยากรธรรมชาติ คดีวิสามัญฆาตกรรมหรือคดีที่เป็นที่สนใจของประชาชนเพื่อเป็นการอำนวยความเป็นธรรมแก่ประชาชน ซึ่งปฏิบัติมาด้วยดี
ซึ่งตั้งแต่ พ.ศ.2541 หลังจากได้มีพระราชกฤษฎีกาโอนกรมตำรวจ กระทรวงมหาดไทย มาจัดตั้งเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี ในการสอบสวนคดีอาญา พนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจก็ยังคงปฏิบัติตามข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวเรื่อยมา
แต่ปัจจุบัน (ตั้งแต่เมษายน 2559) ตำรวจปฏิเสธอำนาจหน้าที่ของพนักสอบสวนฝ่ายปกครองตามข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยที่จะเข้าไปดูแลเพื่ออำนวยความเป็นธรรมให้กับประชาชนและรักษาผลประโยชน์ของบ้านเมือง ในคดีป้องกันปราบปรามการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าและทรัพยากรธรรมชาติ คดีวิสามัญฆาตกรรม และคดีสำคัญๆ ที่เป็นนโยบายของรัฐบาล ทำให้กระทรวงมหาดไทยมีปัญหาในการเข้าไปควบคุม ตรวจสอบการสอบสวนคดีตัดไม้ทำลายป่าและทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งคดีสำคัญๆ เพื่อทำให้เกิดความโปร่งใสและเป็นการอำนวยความเป็นธรรมให้กับประชาชนในเบื้องต้นเช่นที่ปฏิบัติมาตั้งแต่ 2523 ทั้งๆ ที่สำนักงานอัยการสูงสุดยังรับรองความเป็นพนักงานสอบสวนของปลัดอำเภอและพนักงานปกครองชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวงมหาดไทยอยู่เช่นเดิม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี