ดูพัฒนาการทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. แล้ว นับเป็นผู้ที่มีพัฒนาการสูงมาก ถ้าเป็น “หน้ากากนักร้อง” นี่ เรียกว่าไม่มีใครทายถูก เปิดหน้ากากรอบสุดท้าย หงายเก๋งกันถ้วนหน้า
วันที่เรียกได้ว่า เป็นการ “ถอดหน้ากาก” ให้เห็น “โฉมหน้าที่แท้จริง” นั้น คือวันที่ประกาศตั้ง สองพี่น้องจากตระกูล “คุณปลื้ม” ขึ้นสู่ตำแหน่ง “ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี” กับ “ผู้ช่วยรัฐมนตรี” บนความ “มึน” ว่า 2 พี่น้องที่ตั้งขึ้นมา เป็นโดดเด่น เชี่ยวชาญ ในงานและตำแหน่งดังกล่าวจริงหรือ?
สนธยา คุณปลื้ม กับการเป็นที่ปรึกษานายกฯ แรกทีเดียว พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ว่า มาเป็นที่ปรึกษาด้านการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดิน ตบท้ายด้วยคำคม (ที่หันไปบาดตัวเอง) ว่า “แสดงว่าผมไม่ได้ปฏิเสธนักการเมือง ทำงานร่วมกับนักการเมืองได้ไง” แต่ไปถามคนอื่น บอกว่าให้มาช่วยงานอีอีซีตนหลังท่านก็เลยอีอีซีด้วย (ฮา...)
อิทธิพล คุณปลื้ม กับตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่ก็ไม่รู้ว่า ระหว่างเขากับนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ใครต้องการ “ผู้ช่วย” มากกว่ากัน เพราะไม่เห็นผลงานและความเฉียบคมใดๆ ของทั้งคู่เลย โดยเฉพาะนายวีระศักดิ์ ที่กระแส “แต่งไทย” ถูกละครบุพเพสันนิวาส ปลุกขึ้นอย่าง “บ้าคลั่ง” เขาก็ไม่แสดงความสามารถในการ “ต่อยอด” มันได้อย่างเฉียบคมสักเลยนิด ได้แต่อาศัยกระแสแถลงตัวเลขที่ตลาดมัน “เดินเอง” ไป หลังจบเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา
แล้ว “ลุงตู่” รู้ไหม ว่าตัวเองกำลังทำอะไร?
รู้สิครับ เวลาที่เราอยากรู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์กำลังร้อนใจ ลนลาน ขุ่นเคือง หรือละอาย กับเรื่องอะไรอยู่ ให้ดูรายการ “ศาสตร์พระราชา” (ที่ไม่เคยนำศาสตร์พระราชามาเผยแพร่ หรือไม่มีอะไรเกี่ยวกับศาสตร์พระราชาเลย) ทุกคืนวันศุกร์
ศุกร์ที่ผ่านมา (27 เมษายน 2561) เป็นการออกอากาศในตอนที่ 201 ท่านดู “ลนลาน-ร้อนใจ-ละอาย และขุ่นเคือง” กับเรื่องที่ถูกตีความการกระทำของท่านว่าเป็นการ “ดูด” สส. มาต่อยอดการเมืองในวันข้างหน้า ท่านจึงกล่าวในช่วงหนึ่งของรายการว่า...
ตนไม่ใช่นักการเมือง เพียงแต่มาทำงานทางการเมืองให้ในตอนนี้ แต่ทุกคนทราบดีว่า การดูดนี่มีเป็นมายาวนานแล้ว ไม่ใช่มาบอกแต่ คสช. ดูด การดูดกัน มันก็มีทุกพรรคการเมืองมายาวนานแล้ว เป็นครรลองของประชาธิปไตยไทยตลอดมา หลายคนอาจจะอ้างว่าทำด้วยอุดมการณ์ ด้วยนโยบายเพื่อชาติและประชาชน และคำว่า “ดูด สส.” คงเป็นภาษาของสื่อ เป็นการตลาด
“ผมคิดว่าประชาชนควรใช้วิจารณญาณได้เองว่า อะไรคือการทำเพื่อส่วนรวม อะไรที่เป็นการทำเพื่อพวกพ้อง เราต้องทำให้นักการเมืองทุกคนที่เข้าสู่ระบบเลือกตั้งครั้งหน้า เป็นคนที่มีคุณธรรม จริยธรรม มีธรรมาภิบาล ไม่ว่าจะนักการเมืองเก่า นักการเมืองใหม่ หรือคนที่เคยทำผิดกฎหมาย มีคดี ไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม หรือเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งแตกแยกของคนในชาติ คนเหล่านี้ใครควรจะได้รับการเลือกตั้ง หรือใครไม่ควรจะได้รับการเลือกตั้ง ก็เป็นเรื่องของประชาชนพิจารณานะครับ ผมไปชี้นำไม่ได้ เพื่อที่จะนำพาประเทศของเราไปสู่ทางออกของปัญหาตามแนวทางสันติวิธี ไม่อยากให้ขัดแย้งกันอีกนะครับ เพราะต้องแก้ไขด้วยกัน รัฐบาลหรือ คสช. จะไปสั่งให้เลิกทะเลาะกันมันเป็นไปไม่ได้ เพราะอยู่ที่ใจของแต่ละคน”
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ถ้าเอาการเลือกตั้งมาเป็นตัวตั้ง ก็ต้องหาวิธีว่าจะทำอย่างไรให้ได้นักการเมืองที่มีคุณภาพ ซึ่งจากการติดตามความเคลื่อนไหวของนักการเมืองในปัจจุบันเห็นว่ามี 3 ทางเลือก คือ 1.ก็คือการเคลื่อนไหวของนักการเมืองใหม่ทั้งหมด 2.นักการเมืองเดิม อาจจะที่มีคุณภาพ หลายพรรคต่างๆ ก็มาช่วยกัน และ 3.คือนักการเมืองจากทุกพรรค ทุกกลุ่ม เดิมๆ ที่ไม่ได้แยกย้ายพรรคอะไร พวกนี้ก็จะเข้ามาเลือกตั้งเหมือนเดิม วิธีการเดิมๆ อาจจะไม่เปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานหรือเปล่า ตรงนี้ไม่แน่ใจนะ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า วันนี้ต้องแก้ไขใหม่ ลองไปคิดดูว่า เราฝืนข้อเท็จจริงไม่ได้ เรามีนักการเมืองแบบไหนบ้างในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเก่า จะใหม่ จะดี ไม่ดี ก็มีอยู่เท่านี้ เราอาจจะต้องใช้วิธีผสมกันหรือเปล่า 1 หรือ 2 เราต้องยอมรับความจริงตรงนี้ วันนี้นักการเมืองใหม่เข้ามาน้อยมาก เราน่าจะอยากได้คณะรัฐมนตรีที่ควรมีนักการเมืองใหม่เข้ามาเติม มาเสริม แล้วมีนักการเมืองเก่าที่ดีๆ หวังดีกับประเทศชาติจริงๆ เข้ามาทำงานด้วยความสมัครใจ ทำเพื่อชาติ เพื่อพี่น้องประชาชน มากกว่าทำเพื่อพรรคอย่างเดียว
เราอย่าไปหลงเชื่อว่าการเลือกตั้งอย่างเดียวจะแก้ปัญหาได้ในอดีตได้ เราจะไม่สามารถวางรากฐานการพัฒนาในอนาคตได้ ถ้าเราคิดแบบเดิม เราควรให้ความสำคัญในเรื่องนโยบายต่างๆ ของแต่ละพรรค เพื่อให้เกิดการสร้างความเข้มแข็ง พึ่งพาตนเองได้ จะต้องส่งเสริมการเคารพกฎหมาย แก้ไขประเด็นความขัดแย้ง ไม่สร้างความวุ่นวายแตกแยก ไม่อำนวยประโยชน์แก่คนบางกลุ่ม บางพวก เป็นการเฉพาะ
ขอให้ลองพิจารณาคำกล่าวของผู้นำประเทศหนึ่งที่กล่าวว่า “ไม่ว่าแมวขาว หรือแมวดำ ก็ขอเพียงจับหนูได้ ก็คือแมวที่ดี” เนื่องจากในการแก้ปัญหาเดียวกัน แต่ต่างพื้นที่ ต่างสภาพแวดล้อม วิธีการย่อมแตกต่างกัน ในรายละเอียด “ไม่มีสูตรตายตัว” เพียงแต่ว่า สำหรับเราเองนั้นเราจะต้องทำให้ทั้งแมวขาว แมวดำ ของเรา ไม่ทะเลาะกันเอง ไม่กัดกันเอง แล้วเป็น “แมวสะอาด” ไม่มีเชื้อโรค ไม่อย่างนั้นก็ไปปราบหนูไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าต้องการให้บ้านเมืองเราสะอาด ก็ต้องใช้แมวที่สะอาด ก็ขอฝากให้ช่วยกันคิดดู
เอ้า! เรามองมา คิดดู” ตามที่ท่านฝากให้คิด
1) เป็นท่านเองไม่ใช่หรือ ที่ในช่วงแรกๆ ของการเข้ายึดอำนาจ ท่านสร้างบรรยากาศ “ชิงชังนักการเมือง” แบบ “เหมาเข่ง” ว่า “ไม่ดี-สร้างปัญหา-ขัดแย้ง-โกง-เห็นแก่ตัว” เวลานั้นท่านไม่ได้กระตุ้นให้คนจำแนกแยกแยะว่า การเอาอำนาจของประชาชนไปมอบให้แก่นักการเมืองชั่วๆ บ้านเมืองก็ชั่วไปด้วย บวกกับ “เผด็จการรัฐสภา” ที่ทำลายระบบ “ดุลและคานอำนาจ” ทำให้บ้านเมืองมาถึงจุดที่คนลุแก่อำนาจ ไม่ใส่ใจความมีเหตุมีผล ออกกฎหมายให้คนตายฟรี เช่น กฎหมายนิรโทษกรรม แถมแฝงการช่วยคดีทุจริตเอาไว้ท้ายกฎหมายก็กล้าทำ ไม่ยำเกรงประชาชน ไม่สนใจธรรมาภิบาลใดๆ เวลานั้น ท่านจึงไม่เกลือกกลั้วกับนักการเมืองเลย
2) จนถึงวันหนึ่ง ท่านยอมรับว่าท่านเป็นนักการเมืองแล้ว และถึงวันนี้ มีใครไม่เชื่อบ้างว่าท่านเป็น “นักการเมือง” และเมื่อดูจากตรรกะ เหตุผล ในคำพูดคำจาของท่านแล้ว เรารู้ด้วยซ้ำไปว่า ท่านเป็นนักการเมืองแบบไหน
3) ท่านสูญเสียภาวะการเป็น “คนกลาง” เข้ามาแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของคนในชาติ ที่พัฒนาไปถึงขีดของการใช้ความรุนแรงเข้าห้ำหั่นกัน ผู้คนหวังให้ท่านปฏิรูป “กติกา” เพื่อให้กติกานั้นไปคัดกรองคนชั่ว ไม่ให้เข้าสู่ระบบการเมือง หรือเมื่อเข้ามาแล้ว ต้องถูกตรวจสอบและ “คัดออก” ได้ทันท่วงที
4) บัดนี้ ไม่เพียง “ไม่คัดออก” แต่ถึงขั้น “คัดมาใช้เอง”ด้วยวิธีแบบ “นักการเมือง” เลยเชียวล่ะ ในสภาพการณ์แบบนี้ “แม่ยก-กองหนุน” ของท่าน ได้แต่ยกยาดมขึ้นดม บอกไม่ถูกว่ารักหรือชัง สิ้นหวัง หรือจะหวังต่อไปให้ท่านเป็น “คนกลาง” ในเมื่อท่านแสดงความไม่เป็นกลางอย่างเห็นได้ชัด
5) ท่านกำลังส่งสัญญาณว่าท่านไม่เลือกสีแมว ท่านมุ่งจับหนู แต่คนเห็นว่าหนูที่ท่านกำลังไล่จับนั้นคือ “อำนาจ” และเมื่อท่านจับมันไม่อยู่ ท่านจึงไปต้อนฝูงแมวมาช่วยจับ โดยแมวที่ท่านเลือกให้มาช่วยจับ เป็นแมวจรจัด ที่ย้ายจากพรรคนั้นไปพรรคนี้มาไม่รู้กี่ตลบ เป็นแมวที่ไม่มีจุดยืน อำนาจอยู่ตรงไหนก็ไหลไปตรงนั้น นี่คือแมวที่ท่านต้องการเพื่อสนองปัญหาของท่าน หรือของประชาชน-ประเทศชาติ
6) ท่านจะหวนกลับมาเป็นนักการเมืองก็ได้ ไม่มีใครว่า เป็นสิทธิที่ทุกคนจะเสนอตัวเข้ามา แต่การใช้อำนาจและผลประโยชน์ที่ถือครองอยู่ ไปสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบต่อการแข่งขันที่กำลังจะมาถึง มันเป็น “วิธีสกปรก” ที่คนผู้นั้นไม่พึงกล้าหาญพูดคำว่า “ธรรมาภิบาล” กับใครได้อีก
7) เอาสนธยามา ให้อำนาจสนธยา ไปสร้างคะแนนนิยมในพื้นที่อีอีซี ซึ่งเป็นพื้นที่แข่งขันทางการเมืองของเขา ในขณะที่สั่งทุกพรรคการเมืองให้หยุด ห้ามเคลื่อนไหว ห้ามประชุมพรรค ไปสร้างระบบทำลายฐานสนับสนุนของพรรคการเมืองอื่นๆ เขา ด้วยการตัดสิทธิ “สมาชิกพรรค” หากไม่มายืนยันสมาชิกภาพและชำระค่าสมาชิก แทนที่จะบอกว่า ใครไม่ประสงค์จะเป็นสมาชิกพรรคใด ให้ตรวจสอบในฐานข้อมูลแล้วแจ้งยกเลิกเสียนี่กลับเลือกวิธีที่จะทำให้พรรคเก่าๆ ประสบปัญหา แต่สร้างความได้เปรียบให้แก่บางพรรค ซึ่งเป็น “แมว” ที่ตัวเองเลือกมาช่วย “จับหนู” อย่างนี้คือ ธรรมาภิบาล?
8) สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ทำในเวลานี้ ไม่ต่างจากที่นักการเมืองในอดีตทำ ไม่ต้องมาอ้างว่าทำเพื่อชาติ เพราะประชาชนนึกไม่ออกว่า ธุระของท่านที่จะต้องอยู่ ต้องทำเพื่อชาติ มีอะไรอีก นอกจากการปราบทุจริต ปฏิรูปการเมือง สร้างระบบที่ดีให้บ้านเมืองแล้วจากไปอย่างสง่าๆ นั่งคุมทิศทางของบ้านเมืองผ่าน สว. ที่ท่านได้เลือกเอง 100% ผ่านแผนปฏิรูป และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี อำนาจที่ได้และที่มี เมื่อท่านแสดงความ “ไม่พอ” คนก็อาจจะ “พอ” กับท่านได้
9) การเมือง-ที่ท่านส่งสัญญาณออกมาในตอนนี้ ไม่ใช่การเมืองใหม่ๆ ที่เป็นความหวัง แต่เป็นการเมือง “น้ำเน่า” ในวังวนเก่าๆ ผ่านตัวละครเก่าๆ ที่แล่นเข้าหาฝ่ายที่มีอำนาจเสมอมา เป็นการส่งสัญญาณว่า นักการเมืองแบบนั้นใช่ไหม ที่จะอยู่ได้ในบ้านเมืองของเรา นักการเมืองสีเทาๆ ไม่ต้องขาวหรือดำ อำนาจอยู่ที่ไหน เมื่อเขาเกี้ยวพาราสียามใด ก็แล่นไป “สังวาสอำนาจ” กับเขาทันที นักการเมืองสายพันธุ์นี้ หรือครับ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ บอกเราเป็นนัยๆ ว่าควรเอาไว้ช่วย “จับหนู”
10) และเพราะ “การดูด” นั้น มีมายาวนาน ท่านจึง “เห็นควรด้วย” ที่จะอนุรักษ์ รักษาไว้ และส่งเสริมให้ดูดกันต่อไป เพียงแต่ดูดให้ดีงาม ดูดให้สวยๆ ดูดเสร็จเช็ดปาก แล้วบอกว่า ดูดเพื่อชาติ เพื่ออนาคตนะคะ
ผมถึงได้บอกว่า “ลุงตู่” แกเหมือนหน้ากากนักร้อง ที่คนช่วยกันเชียร์แทบเป็นแทบตาย พอเปิดหน้ากากให้ดูในรอบสุดท้าย จะเป็นลมตายกันทั้งนั้น!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี